Getting your Trinity Audio player ready... |

ผู้บริโภคอ่วม กทม. ขึ้นราคาสายสีเขียวเป็นสูงสุด 65 บาท เริ่ม 1 พ.ย.นี้ สภาผู้บริโภคยืนยันไม่เห็นด้วยกรณี สายสีเขียวขึ้นราคา ชี้ปิดกั้นสิทธิเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะอย่างเท่าเทียม เสนอรัฐบาล – กทม. ร่วมแก้ไขปัญหา
กรุงเทพมหานคร (กทม.) ออกมาประกาศปรับโครงสร้างรถไฟฟ้าราคาสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ได้แก่ หมอชิต – คูคต, บางจาก – สมุทรปราการ และโพธิ์นิมิตร – บางหว้า จากเดิม 15 บาท เป็น 17 – 45 บาท รวมค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 65 บาท เริ่ม 1 พฤศจิกายนนี้ สภาผู้บริโภคยืนยันไม่เห็นด้วยเพิ่มภาระค่าครองชีพให้ประชาชน เสนอรัฐบาลร่วมแก้ปัญหาสัมปทานสีเขียว

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ยืนยันว่า สภาผู้บริโภคไม่เห็นด้วยกับกรณี สายสีเขียวขึ้นราคา เป็นสูงสุด 65 บาท เพราะเป็นภาระเกินสมควรให้กับผู้บริโภค โดยชี้ว่าการขึ้นราคาจาก 15 บาทเป็น 45 บาทในส่วนต่อขยายเพียงอย่างเดียว ทำให้ผู้โดยสารบางกลุ่มจ่ายเพิ่มสูงสุดถึง 3 เท่า
สารี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อช่วงเดือนกันยายน 2568 วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการ กทม. ได้เข้ามาพูดคุยกับสภาผู้บริโภคกรณีการขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยชี้แจงว่าเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคได้แสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับการขึ้นราคาดังกล่าว พร้อมเสนอให้ กทม. พิจารณาทางเลือกอื่นเพื่อช่วยลดผลกระทบกับผู้บริโภค เช่น ขอสนับสนุนการอุดหนุนจากรัฐบาล เพิ่มภาษีน้ำมันท้องถิ่น 2 บาทต่อลิตรเพื่อนำมาสนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะ หรือใช้โอกาสใกล้หมดสัญญาสัมปทานเจรจาต่อรองกับบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอสซี) เพื่อลดค่าจ้างเดินรถ
“สภาผู้บริโภครู้สึกเห็นใจสถานะทางการเงินของ กทม. เพราะภาระหนี้สายสีเขียวที่ต้องรับผิดชอบถือเป็น “มรดกบาป” ที่เกิดจากการบริหารงานในอดีต แต่ผู้บริหารชุดปัจจุบันไม่ได้เป็นผู้ก่อหนี้และไม่ควรต้องรับผิดชอบเพียงหน่วยงานเดียว อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหา โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนและการปรับโครงสร้างสัญญาสัมปทานเพื่อแบ่งเบาภาระ อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาทั้งหมดไม่ควรผลักภาระมาให้ผู้บริโภค เพราะกระทบกับสิทธิการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะและคุณภาพชีวิตของประชาชนจำนวนมาก” สารี กล่าว

ด้าน สัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม เห็นว่าการปรับราคาเป็นการเพิ่มภาระประชาชนทันที แม้จะช่วยเพิ่มรายได้ กทม. จาก 2,400 ล้านบาท เป็น 4,500 ล้านบาทต่อปี แต่ควรควบคู่กับการตัดโครงการที่ไม่จำเป็นและทบทวนอัตราค่าโดยสารอีกครั้ง
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาภาระค่าใช้จ่ายระยะยาวนั้น เนื่องจากสัญญาจ้างเดินรถที่ทำกับเอกชนมีราคาค่อนข้างสูงและอาจแก้ไขได้ลำบากในระยะสั้น ดังนั้นรัฐบาลควรช่วยสนับสนุนงบประมาณสำหรับจ้างเดินรถ เพื่อให้สามารถตรึงค่าโดยสารไม่ให้สูงกว่าเดิม นอกจากนี้ ควรมีการเจรจาสัญญาจ้างเดินรถทั้งหมดเพื่อให้ได้อัตราที่เหมาะสมในอนาคต

สุจิน รุ่งสว่าง ตัวแทนแรงงานนอกระบบ กล่าวว่า ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศประมาณ 300 บาท หากกทม. คิดอัตราค่าโดยสารสูงสุด 65 บาทมองว่าเป็นราคาที่สูงเกินไป โดยเฉพาะสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ถือเป็นการปิดโอกาสและจำกัดสิทธิของผู้บริโภคที่จะเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถใช้รถไฟฟ้าได้ ต้องไปขึ้นรถเมล์เหมือนเดิม เสียเวลา เสียโอกาสในการใช้ชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน
“ปัจจุบันผู้มีรายได้น้อยถูกต้อนออกไปอยู่แถบชานเมือง ทำให้ต้องเดินทางระยะไกลเพื่อเข้ามาทำงานในเมือง และมีความเป็นไปได้มากว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ที่ต้องจ่ายค่าโดยสารสูงสุด การขึ้นค่าโดยสารเป็นสูงสุด 65 บาท จึงทำให้สิทธิของผู้บริโภคที่จะเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะถูกจำกัด” สุจินกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จ่อขึ้นค่าโดยสารสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ชดเชยขาดทุนสุดสายไม่เกิน 65 เริ่ม 1 พ.ย.นี้
ค้าน กทม. ขึ้นค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว อย่าผลักภาระให้ประชาชน