จาก “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” สู่ขนส่งสาธารณะที่เป็นธรรม

Getting your Trinity Audio player ready...
จาก "รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย" สู่ขนส่งสาธารณะที่เป็นธรรม

นอกจากจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนแล้ว การสนับสนุนเรื่องบริการขนส่งสาธารณะจะช่วยลดจำนวนรถบนท้องถนน ปัญหาการจราจรติดขัด และปัญหามลพิษ PM 2.5 รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ

แม้จะยังมีข้อถกเถียงกับเรื่องอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมและความยั่งยืนของนโยบายดังกล่าว แต่สภาผู้บริโภคยืนยันว่า ประเทศไทยมีงบประมาณจำนวนมากในประเทศที่สามารถนำมาใช้พัฒนาเรื่องนี้ได้ เพียงแต่ยังไม่ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และรถไฟฟ้า 20 บาทสามารถทำได้จริงอย่างยั่งยืน

รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทำได้จริง!

บทสนทนาของทีมข่าวสภาผู้บรโภคกับ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ได้พูดคุยถึงประเด็นสำคัญหลายประการเกี่ยวกับการขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งสภาผู้บริโภคแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการสนับสนุนนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยมองว่าบริการขนส่งสาธารณะควรเป็นบริการพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทุกวัน และการกำหนดราคา 20 บาทตลอดสายนั้น เป็นราคาที่เหมาะสม ทำได้จริง และไม่เป็นภาระของรัฐบาล

ค่าโดยสารไม่ควรเกิน10% ของค่าแรงขั้นต่ำ

เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ย้ำว่า หลักการหนึ่งที่สภาผู้บริโภค ยึดถือเสมอคือ ค่าบริการขนส่งสาธารณะไม่ควรเกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งแปลว่าไม่ควรเกิน 40 บาทต่อวัน ณ ปัจจุบัน โดยที่ผ่านมาองค์กรผู้บริโภคผลักดันเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อปี 2563 โดยเริ่มจากการคัดค้านราคา 65 บาทต่อเที่ยวของรถไฟฟ้าสายสีเขียวในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะแม้จะเป็นราคาตลอดสาย แต่หากคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายต่อวันก็ 130 บาท ซึ่งคิดเป็นเกือบ 40% ของค่าแรงขั้นต่ำ จึงเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนไม่สามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้ทุกวัน ทั้งที่รถไฟฟ้าควรจะเป็นส่วนหนึ่งของบริการขนส่งมวลชนรองรับประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ทั้งนี้ หลักการเรื่องค่าเดินทางที่ไม่เกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำต่อวันนั้น ไม่ใช่เป็นหลักการที่คิดขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นแนวปฏิบัติที่หลายประเทศทั่วโลกใช้ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเยอรมนีที่ประชาชนจ่ายค่ารถไฟฟ้า ราคา 58 ยูโร หรือประมาณ 2,180 บาทต่อเดือน ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำต่อชั่วโมงอยู่ที่ประมาณ 12.82 ยูโรต่อชั่วโมง เมื่อคำนวณเป็นรายเดือนจะเท่ากับ 2,051 ยูโร หรือราว 76,875 บาทต่อเดือน (เริ่มปรับขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568) นั่นแปลว่าชาวเยอรมันจ่ายค่ารถไฟฟ้าเพียง 2.83% ของค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น ขณะที่ประเทศไทยกำหนดค่าแรงขั้นต่ำประมาณ 400 บาทต่อวัน ตามที่รัฐบาลประกาศ เมื่อมีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทต่อเที่ยว ก็แปลว่าเฉลี่ยเราต้องจ่ายค่ารถไฟฟ้า 40 บาทต่อวัน คิดเป็น 10% ของค่าแรงขั้นต่ำซึ่งไม่นับรวมค่าขนส่งอื่น ๆ เช่น รถเมล์ มอเตอร์ไซค์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วค่าแรงขั้นต่ำของไทยยังไม่ถึง 400 บาทด้วยซ้ำ

“มรดกบาป” ปัญหาหลักของรถไฟฟ้าในไทย

เมื่อถามถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องรถไฟฟ้าในประเทศไทย สารี แสดงความเห็นว่า การแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าในปัจจุบันนั้นเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการบริหารจัดการรถไฟฟ้าที่ผิดพลาดในอดีต หรือที่เรียกว่า “มรดกบาป” เช่น กรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สัญญาสัมปทานจะหมดในปี 2578 แต่มีการต่อสัญญาจ้างเดินรถไปถึงปี 2585 ทำให้กรุงเทพมหานครต้องรับภาระค่าจ้างที่อาจสูงเกินจริงถึง 12,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึงกรณีสายสีส้มที่สร้างเสร็จแล้วแต่ประชาชนยังใช้บริการไม่ได้เนื่องจากติดเงื่อนไขสัมปทาน

ดังนั้น หากต้องการแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าในประเทศไทย จะเป็นต้องบริหารจัดการเรื่องสัญญาสัมปทาน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินการ และไม่ควรผลักภาระค่าใช้จ่ายซึ่งเกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลผลักภาระมาให้ประชาชนเป็นผู้รับผิดชอบ

รถไฟฟ้า 20 บาท ไม่เป็นภาระด้านการเงิน

สารี ยืนยันว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายสามารถทำได้โดยไม่กระทบต่อการบริหารจัดการงบประมาณของประเทศ เพราะข้อมูลจากการศึกษาพบว่าต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ เช่น สายสีเขียว สีม่วง สีน้ำเงิน อยู่ที่ประมาณ 11 บาท ต่อเที่ยว เท่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้ตรงกันกับการสำรวจของกรุงเทพมหานคร ทำให้สภาผู้บริโภคมั่นใจว่าราคา 20 บาทตลอดสายเป็นไปได้โดยที่เงินจำนวนดังกล่าวยังครอบคลุมค่าโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐต้องจ่ายได้ด้วย

นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังมีรายได้จากภาษีการจดทะเบียนรถยนต์ หรือที่เรียกว่า ภาษีล้อเลื่อนอีกประมาณปีละ 11,000 ล้านบาท หากนำเงินก้อนดังกล่าวไปสนับสนุนบริการขนส่งสาธารณะ จะสามารถจัดระบบขนส่งที่ครอบคลุมทั้งรถเมล์ เรือ และรถไฟฟ้าได้อย่างยั่งยืน

นอกจากเรื่องนโยบาย 20 บาทแล้ว การผลักดันเรื่อง พ.ร.บ. ตั๋วร่วม เป็นอีกหนึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องผลักดัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้มากขึ้น โดยจะมีการใช้บัตรใบเดียวหรือมือถือ เพื่อใช้บริการขนส่งทุกประเภทได้ทั่วประเทศ และมีโครงสร้างราคาร่วมกัน ทำให้ไม่ต้องแยกจ่ายค่าบริการแต่ละเจ้า

สนับสนุนขนส่งสาธารณะ คุ้มค่ากับการลงทุน

เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคยืนยันว่า การลงทุนในระบบรถไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน เพราะจากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าปัญหาการจราจรติดขัดนั้น ทำให้ชาวกรุงเทพฯ ต้องเสียเวลาเดินทางนานขึ้นเฉลี่ย 35 นาทีต่อรอบการเดินทาง ซึ่งถ้าหากคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่ผู้คนจะใช้เวลาไปทำงาน หรือทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ จะคิดเป็นมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาทต่อปี ความสูญเสียในลักษณะนี้ เรียกว่า “การสูญเสียทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ หรือ Unrecoverable Loss เป็นความสูญเสียต่อเศรษฐกิจ ในแง่ประสิทธิภาพของการสร้างผลผลิตของประเทศ นอกจากนี้ การจราจรที่ติดขัดยังส่งผลให้มีการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้น ซึ่งรายจ่ายในด้านต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นนี้ คิดเป็นมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหากแก้ไขปัญหานี้ได้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างมหาศาล

“ที่ผ่านมาประเทศไทยมักแก้ปัญหารถติดด้วยการสร้างถนนเพิ่ม แต่เราอยากเรียกร้องให้รัฐบาล หยุดสร้างถนนเพิ่ม ยกเลิกการสร้างทางด่วน 2 ชั้น เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหารถติดแล้ว ยังทำให้รถติดมากขึ้น ทั้งยั้งเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุและการเสียชีวิต ดังเช่นที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งบนถนนพระราม 2 ดังนั้น ขอยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ แต่ปัญหาคือการใช้งบประมาณที่ผิดทิศผิดทางและไม่มีประสิทธิภาพ”

เลขาธิการสภาผู้บริโภค ยกตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทีการสร้างทางด่วนเคทีฟรีเวย์ (Katy Freeway) ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ที่ขยายถนนจนมีถึง 26 เลน เพื่อแก้ปัญหารถติด แต่ผลสุดท้ายกลับทำให้รถติดมากขึ้นยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ได้ขยายถนนเสียอีก ทั้งนี้ หากประเทศไทยยกเลิกโครงการที่ไม่จำเป็น เช่น โครงการสร้างทางด่วน 2 ชั้น ที่มีมูลค่า 34,000 ล้านบาท และนำงบประมาณดังกล่าวไปพัฒนาขนส่งสาธารณะ หรือหากนำงบดังกล่าวไปซื้อรถ EV ให้ท้องถิ่น จะซื้อได้เกือบ 20 คันต่อจังหวัด

หนุนพัฒนา ระบบขนส่งสาธารณะ ทั่วประเทศ

เมื่อชวนคุยถึงภาพรวมของระบบขนส่งสาธารณะในประเทศไทย สารี มองว่าการพัฒนาขนส่งสาธารณะไม่ควรทำเฉพาะในกรุงเทพฯ แต่ต้องดำเนินการให้ครอบคลุม ทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยสนับสนุนให้มีการกระจายอำนาจให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เข้ามาจัดการบริการขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนภาคเอกชนที่ขาดทุนและไม่สามารถให้บริการได้

ทั้งนี้ ปัจจุบันสภาผู้บริโภคมีโครงการร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นำร่องพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะใน 12 จังหวัด เช่น ภูเก็ต ขอนแก่น เชียงใหม่ อุบลราชธานี อุดรธานี กาญจนบุรี ฯลฯ โดยร่วมมือกับนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อจัดทำนโยบายหรือเริ่มจัดบริการขนส่งสาธารณะในจังหวัดของตัวเองแล้ว

การผลักดันระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม เข้าถึงได้ และมีคุณภาพ ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยสร้าง “เมืองที่เป็นธรรม” ตามแนวทางที่สภาองค์กรของผู้บริโภคกำลังขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้ เพราะระบบขนส่งที่ดีไม่เพียงลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่ยังส่งเสริมโอกาสในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การรักษาพยาบาล หรือการประกอบอาชีพ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างศูนย์กลางกับพื้นที่รอบนอก และเปิดทางให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างเท่าเทียม

สำหรับประชาชนที่ประสบปัญหาผู้บริโภค หรือได้รับผลกระทบจากการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ปรึกษา – ร้องเรียนได้ที่ เว็บไซต์ www.tcc.or.th ไลน์ออฟิเชียล (Line OA) @tccthailand หรือสายด่วนสภาผู้บริโภคโทร 1502


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปัญหารถติด กระทบเศรษฐกิจไทย ปีละ 10,000 ล้านบาท

Induced Demand : หยุด! สร้างถนน มุ่งขนส่งสาธารณะ ลดปัญหารถติด ฝุ่นพิษ

ฟังคลิปฉบับเต็มได้ที่