Getting your Trinity Audio player ready... |

สภาผู้บริโภคเสนอ กฟผ. ชะลอสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ขนาดเล็ก แนะผลักดันพลังงานหมุนเวียนให้เต็มศักยภาพ ก่อนพิจารณานิวเคลียร์ขนาดเล็ก
กรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประกาศเดินหน้าศึกษาและผลักดันการใช้ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) เพื่อทำให้ระบบไฟฟ้ามีความเสถียรมากขึ้นนั้น สำหรับประเทศไทยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีความจำเป็นหรือไม่ ยังเป็นคำถามสำคัญ

รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ประเทศไทยยังไม่จำเป็นต้องเร่งลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือเอสเอ็มอาร์ (SMR) ในเวลานี้ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังมีศักยภาพพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) พลังงานลม ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ และเขื่อนขนาดเล็ก ที่สามารถพัฒนาให้ผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอและมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์สามารถเสริมความเสถียรและประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Storage) ซึ่งมีแนวโน้มราคาลดลงต่อเนื่อง ดังนั้น กฟผ. จึงควรมุ่งเน้นการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งระบบให้เต็มศักยภาพก่อน
ทั้งนี้ หากพิจารณาภายใต้กรอบความสมดุลด้านพลังงาน 3 ด้าน (Energy trilemma) ในมิติด้านความมั่นคง ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และราคา จะพบว่า SMR มีจุดเด่นด้านความมั่นคง เพราะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอดเวลา โดยไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ ต่างจากโซลาร์ที่มีปัญหาเรื่องการผลิตไม่สม่ำเสมอ (Intermittency) แต่หากติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานร่วมด้วย ระบบโซลาร์เซลล์ก็สามารถจ่ายไฟได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญโซลาร์ไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิง ในขณะที่ SMR ต้องนำเข้ายูเรเนียมตลอดอายุโครงการ
ในมิติด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม แม้ว่าโซลาร์และ SMR ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำใกล้เคียงศูนย์ แต่ SMR มีปัญหาสำคัญคือกากกัมมันตรังสี ซึ่งยังเป็นประเด็นที่สังคมไทยไม่ยอมรับและต้องมีมาตรการกำจัดที่ปลอดภัย รวมถึงความเสี่ยงด้านการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ เนื่องจาก SMR ใช้น้ำปริมาณมากในกระบวนการผลิตไฟฟ้า คือประมาณ 2,000 ลิตรต่อปริมาณไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าการใช้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติถึงสองเท่า
ในมิติด้านต้นทุน SMR เป็นเทคโนโลยีใหม่ มีต้นทุนก่อสร้างสูงและยังไม่แน่นอน นอกจากนี้ข้อมูลจากต่างประเทศยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น บริษัท นิวสเกล พาวเวอร์ (NuScale Power) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กในสหรัฐฯ เคยตั้งเป้าหมายต้นทุนพลังงานเฉลี่ย (LCOE) ของโครงการ Carbon Free Power Project (CFPP) ไว้เพียง 58 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง ก่อนที่จะปรับเพิ่มเป็น 89 ดอลลาร์สหรัฐต่อ เมกะวัตต์-ชั่วโมง (ราว 2.85 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) ทำให้โครงการต้องถูกยกเลิกในปี 2023 ขณะที่ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กที่ชื่อว่าโรลสรอยส์ (Rolls-Royce SMR) ในสหราชอาณาจักร ตั้งเป้าหมาย LCOE ไว้ที่ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง (ประมาณ 2.55-2.71 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) แต่ยังไม่มีการผลิตไฟฟ้าจริง

สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากรายงานของบลูมเบิร์ก* (BNEF: BloombergNEF) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยและให้ข้อมูลชั้นนำของโลกที่เชี่ยวชาญด้าน พลังงานสะอาด การขนส่ง อุตสาหกรรมดิจิทัล และตลาดคาร์บอน คาดการณ์ว่าต้นทุนเฉลี่ยตลอดอายุโครงการ (LCOE) ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก ในประเทศไทยสูงถึง 372 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง คิดเป็นประมาณ 11.90 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง สูงกว่าพลังงานหมุนเวียนอย่างโซลาร์หรือกังหันลมที่มีต้นทุนเพียง 30-70 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 0.95 – 2.20 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) ต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง เท่านั้น จึงมีความคุ้มค่าในระยะสั้นและกลางมากกว่า
“ประเทศไทยควรใช้เวลาช่วง 10 – 15 ปีข้างหน้า พัฒนาและใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างเต็มศักยภาพ ก่อนที่จะพิจารณาการใช้ SMR ในอนาคต หลังปี 2040 ซึ่งอาจเป็นช่วงที่ต้นทุนลดลงและสังคมมีการยอมรับมากขึ้น” รศ.ดร.ชาลี กล่าวทิ้งท้าย
*อ่านรายงานของบลูมเบิร์ก (BNEF: BloombergNEF) ได้ที่ : Thailand Turning point for a Net-Zero power grid
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กฟผ. ชูโรงไฟฟ้า SMR สร้างเสถียรภาพระบบผลิตไฟฟ้า เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
แผน PDP 2025 “เข็มทิศพลังงาน” ส่อเค้ากีดกัน ประชาชนมีส่วนร่วม