Ribbon

มาตรการปราบ สแกมเมอร์ในอาเซียน โทษหนักตั้งแต่โบย จนจำคุก 20 ปี

เปิดมาตรการปราบ สแกมเมอร์ในอาเซียน โทษหนักตั้งแต่โบย จนจำคุก 20 ปี

ภัยมิจฉาชีพออนไลน์หรือสแกมเมอร์เป็นอาชญากรรมที่รุนแรงที่สุดรูปแบบหนึ่ง โดยกำลังเข้ามากระทบต่อทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพราะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินจนเหยื่อบางรายสูญเงินออมทั้งชีวิตหรือถึงขั้นฆ่าตัวตาย ทั้งยังบ่อนทำลายความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิก่อให้เกิดความวิตกกังวลด้านความปลอดภัยข้อมูลส่วนตัว ทั้งนี้เพื่อร่วมหยุดยั้งปัญหาภัยมิจฉาชีพ ส่งผลให้หลายประเทศในภูมิภาคได้ยกระดับกฎหมายและมาตรการลงโทษ เพื่อจัดการกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์ ไล่ระดับมาตรการคุมเข้มแตกต่างกันตั้งแต่สิงคโปร์ ที่มีการโบย และประเทศไทยที่ยกระดับสู่ “วาระแห่งชาติ” เร่งปราบปรามเด็ดขาดและยึดทรัพย์อาชญากรทันที

สแกมเมอร์ภัยใหญ่ระดับปัญหาภูมิภาค

องค์กรพันธมิตรระดับโลกเพื่อการต่อต้านมิจฉาชีพออนไลน์ (Global Anti-Scam Alliance : GASA) รายงานมูลค่าความเสียหายทางการเงินจากการหลอกลวงออนไลน์ในภูมิภาคอาเซียนช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พุ่งสูงถึง 23.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหนึ่งในสี่ของกลุ่มผู้ใหญ่ต้องสูญเสียเงิน และกลุ่มสแกมเมอร์มีการพัฒนากลหลอกลวงให้รวดเร็วทั้งผ่านการโทรศัพท์ การส่งข้อความ เว็บไซต์และส่งไปถึงโฆษณาส่วนบุคคล โดยภาพรวมภัยจากสแกมเมอร์มีการพัฒนาที่รวดเร็วมากกว่ากลไกการป้องกันที่มีอยู่แล้ว ดังนั้น ภูมิภาคอาเซียนจึงจำเป็นต้องยกระดับการป้องกันในแต่ละประเทศให้แข็งแกร่งมากขึ้น

สิงคโปร์โบย ปราบปรามมิจฉาชีพ ประเทศเดียวในโลก

สำหรับประเทศสิงคโปร์ประกาศใช้กฎหมายอาญาฉบับแก้ไขปี 2025 (Criminal Law Amendments Bill 2025) โดยกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้ผู้กระทำความผิดจากการหลอกลวงออนไลน์จะถูกลงโทษโดยการ “โบยไม้” อย่างน้อย 6 ครั้ง และสูงสุด 24 ครั้งส่วนผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ เช่น เปิดบัญชีธนาคารหรือจัดหาซิมโทรศัพท์ให้ขบวนการสแกมอาจถูกโบยสูงสุด 12 ครั้ง และรับโทษจำคุกเพิ่มตามดุลพินิจของศาล ซึ่งมาตรการนี้อาจกำหนดไว้ให้กลุ่มผู้รับโทษที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี

ทั้งนี้สิงคโปร์รายงานว่า มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ “สร้างความเกรงกลัว” และตัดวงจรการร่วมมือของประชาชนกับกลุ่มสแกมเมอร์ ถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่ใช้บทลงโทษทางร่างกายเพื่อปราบอาชญากรรมดิจิทัล

มาเลเซีย มีโทษจำคุก 1-10 ปี

มาเลเซีย ได้กำหนดกฎหมายอาญาสำหรับผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง โดยมีโทษจำคุก 1–10 ปี และโบยไม้กับผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง แต่ยังไม่ได้กำหนดโทษที่ชัดเจนกับสแกมเมอร์ ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียกำลังดำเนินการปรับปรุงกฎหมายไซเบอร์เพื่อให้สอดคล้องกับภัยรูปแบบใหม่ที่เข้ามาหลอกลวงผู้บริโภคในประเทศ

ฟิลิปปินส์โทษหนัก จำคุก 20 ปี ยาวสุดในอาเซียน

ฟิลิปปินส์ มีกฎหมายป้องปรามอาชญากรรมไซเบอร์ (Cybercrime Prevention Act of 2012) โดยกำหนดโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี สำหรับการฉ้อโกงทางคอมพิวเตอร์หรือการปลอมแปลงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งโทษของประเทศฟิลิปปินส์มีความรุนแรงมากสุดในภูมิภาคอาเซียนในเรื่องของการจำคุก

กัมพูชา มีกฎหมาย โทษตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 3 ปี

กัมพูชาได้กำหนดบทลงโทษสำหรับกลุ่มคนที่ทำหลอกลวงทางออนไลน์ โดยตามประมวลกฎหมายอาญากัมพูชา (Cambodia Penal Code 2009) ได้กำหนดบทคดีฉ้อโกงทั่วไปมีโทษจำคุก 6 เดือน จนถึง 3 ปี และปรับ 1–6 ล้านเรียล ส่วนฉ้อโกงร้ายแรง (aggravated fraud) จำคุก 2–5 ปี และปรับ 4–10 ล้านเรียล 

อินโดนีเซีย เมียนมา และลาว โทษจำคุก

ทางด้านประเทศอินโดนีเซีย ได้ออกประมวลกฎหมายอาญา โดยกำหนดโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี สำหรับคดีฉ้อโกงทั่วไป ส่วนเมียนมาและลาวมีโทษจำคุกเฉลี่ย 3–5 ปี แต่ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในการจัดการเรื่องภัยจากสแกมเมอร์ออนไลน์ 

ประเทศไทย ปราบปรามสแกมเมอร์วาระชาติ ควบคู่บทลงโทษทางกฎหมาย

ทางด้านประเทศไทยได้ใช้แผนปฏิบัติการ ไทยรวมใจต้านสแกมเมอร์ “United Thailand Against Scammers” ด้วยการประกาศให้การปราบปรามสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็น “วาระแห่งชาติ” และแต่งตั้ง “คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รวมถึงบูรณาการความร่วมมือ 15 หน่วยงานรัฐและเอกชนในการดำเนินการ พร้อมใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดและยึดทรัพย์ทันที รวมถึงกำหนด 9 มาตรการเร่งด่วน ให้ทุกจังหวัดดำเนินการได้แก่ ศึกษาและทำแผนรับมือปัญหาในพื้นที่ ตั้ง “ชุดปฏิบัติการพิเศษ” แก้ไขอาชญากรรมเทคโนโลยี บูรณาการทุกหน่วยสกัดภัยไซเบอร์ เข้มงวดชุดรักษาความสงบเรียบร้อย ให้ศูนย์ดำรงธรรมดูแลผู้เสียหายโดยตรง ใช้เครือข่ายกำนัน–ผู้ใหญ่บ้านเฝ้าระวังในชุมชน ตรวจเข้มจุดผ่านแดนและบุคคลเสี่ยง ดำเนินคดีกับผู้มีสัญชาติไทยที่เกี่ยวข้อง และสร้างความรู้เท่าทันภัยดิจิทัลแก่ประชาชน

ทั้งนี้เมื่อประเมินกฎหมายของประเทศไทยหลายฉบับต่างมีความเข้มแข็งและมีบทลงโทษที่รุนแรงแตกต่างกัน โดยทั้ง พ.ร.ก. ว่าด้วยมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยอำนาจหน่วยงานรัฐอายัดบัญชีและระงับธุรกรรมต้องสงสัยได้ทันที ทั้งบัญชีม้า และพร้อมกำหนดบทลงโทษผู้เปิดบัญชีให้ผู้อื่นใช้เพื่อหลอกลวง จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท เพื่อเร่งปราบปรามบัญชีม้า ส่วนผู้ที่จัดหา โฆษณา เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ และหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำคุก 2 – 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 – 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อีกทั้งมีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 วรรคสอง โดยการหลอกลวงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น มีโทษจำคุก 6 เดือน จนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000–140,000 บาท รวมถึง พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยหากนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ยังมี พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 การโอนหรือรับทรัพย์สินจากการหลอกลวงถือเป็นความผิดฐานฟอกเงิน มีโทษจำคุก 1–10 ปี หรือปรับ 20,000–200,000 บาท และอาจถูกยึดทรัพย์

ทั้งนี้ ภัยจากสแกมเมอร์ที่กำลังสร้างผลกระทบรุนแรงในภูมิภาค และกระทบรุนแรงทุกภาครัฐบาล ดังนั้นก่อนที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจดำเนินการทำธุรกรรมทางการเงินจะต้องตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างให้รอบด้านมากที่สุด

เปรียบเทียบมาตรการลงโทษสแกมเมอร์ในอาเซียน

ประเทศมาตรการลงโทษ  
สิงคโปร์ผู้หลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ต้องรับโทษ “โบยไม้” ขั้นต่ำ 6 ครั้ง และสูงสุด 24 ครั้ง ส่วนผู้ให้การสนับสนุน หรือผู้จัดหาบัญชี/ซิม ให้ขบวนการสแกม จะถูกโบยได้สูงสุด 12 ครั้ง
มาเลเซียกำหนดโทษจำคุก 1–10 ปี ปรับ และอาจถูกโบยไม้ สำหรับการฉ้อโกงหรือหลอกลวง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 420
ฟิลิปปินส์กำหนดโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี สำหรับผู้กระทำผิดฐานฉ้อโกง ปลอมแปลง หรือขโมยข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ และมีการแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
อินโดนีเซียกำหนดโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี สำหรับคดีฉ้อโกงทั่วไป
เมียนมาและลาวโทษจำคุกเฉลี่ย 3–5 ปี
กัมพูชากำหนดโทษจำคุก 6 เดือน จนถึง 3 ปี ปรับ 1–6 ล้านเรียล ส่วนคดีร้ายแรงจำคุก 2–5 ปี ปรับ 4–10 ล้านเรียล
ไทยกำหนดโทษ “บัญชีม้า ซิมม้า ข้อความม้า” ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงมีโทษทางอาญา และกฎหมายฟอกเงินที่โทษสูงสุดจำคุก 10 ปี