Ribbon

เตือนผู้สูงอายุ มิจฉาชีพสับหน้าหลอก ล่าสุด จนท. ไฟฟ้า

ภัยจากมิจฉาชีพ ยังคงสร้างความรุนแรงยกระดับการหลอกลวง และเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้น โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น ล่าสุดมิจฉาชีพโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าจะเข้ามาเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าให้ฟรี รวมทั้งหลอกเป็นเจ้าหน้าที่มาเก็บค่าไฟฟ้าที่ ทำให้ผู้สูงอายุที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารถูกหลอกลวงได้อย่างง่าย

นาวาโทศักติพงษ์ สิบหมื่นเปี่ยม ผู้เชี่ยวชาญพิเศษสำนักปฏิบัติการ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีเงินและทรัพย์สินจากการทำงานมาทั้งชีวิต เช่น เงินบำเหน็จบำนาญ รวมทั้งเป็นกลุ่มที่อยู่ติดบ้านและมีเวลาว่าง ทำให้มีโอกาสรับสายโทรศัพท์และพูดคุยกับมิจฉาชีพได้เป็นเวลานาน

นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังมีข้อจำกัดทางเทคโนโลยีและการรับข่าวสาร โดยบางส่วนอาจไม่ได้ติดตามความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีหรือการพัฒนากลโกงใหม่ ๆ ของมิจฉาชีพ ทำให้ไม่รู้เท่าทัน ซึ่งหากรวมปัจจัยด้านจิตวิทยาที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะมีแนวโน้มให้ความเชื่อถือคนอื่นมากกว่าคนใกล้ชิดหรือลูกหลานตัวเอง ดังนั้นเมื่อมิจฉาชีพใช้จิตวิทยาการชักจูงด้วยการเสนอสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจโดยเฉพาะด้านการเงิน จึงทำให้ผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อได้ง่าย

สำหรับกลวิธีในการหลอกลวงผู้สูงอายุ กลุ่มมิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือ ต่อมามิจฉาชีพจะใช้เทคนิคการพูดคุยยาวนาน และชักจูงไม่ให้ผู้บริโภควางสาย เพื่อพูดคุยอย่างต่อเนื่องและสร้างความใกล้ชิด เพื่อกดดันและไม่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้หยุดคิดหรือปรึกษาคนรอบข้าง

นาวาโทศักติพงษ์ กล่าวต่อว่า แนวทางป้องกันกลุ่มผู้สูงอายุไม่ให้ถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพที่ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำหน้าที่แจ้งเตือนกลุ่มผู้สูงอายุอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในกลุ่มผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของมิจฉาชีพ รวมถึงควรมีการสื่อสารด้วยภาษาที่ง่าย หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิค เพื่อทำให้คนทั่วไปและผู้สูงอายุเข้าใจได้ง่าย

สำหรับกรณีที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มผู้สูงอายุหลุดไปถึงกลุ่มมิจฉาชีพได้นั้น นาวาโทศักติพงษ์ เสริมว่า จะต้องมีขั้นตอนในการตรวจสอบช่องโหว่ของระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ทำให้มิจฉาชีพนำข้อมูลไปใช้ได้ พร้อมดำเนินมาตรการลงโทษต่อผู้ที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้อาจตกไปอยู่ในมือมิจฉาชีพ เมื่อผู้บริโภคตัดสินใจใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ หรือลงทะเบียนให้ข้อมูลส่วนตัวกับเอกชน ดังนั้นการให้ข้อมูลส่วนตัว ผู้บริโภคจะต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม หรือผู้ประกอบการให้รอบด้านก่อน

“ภัยจากมิจฉาชีพที่เกิดขึ้น แม้รัฐบาลจะพยายามล้อมรั้วบ้าน ด้วยการตัดสายสัญญาณสื่อสาร แต่โจรยังสามารถปีนเข้าทางหน้าต่าง เช่น ผ่านสัญญาณดาวเทียมอินเทอร์เน็ต หรือมุดอุโมงค์ เข้ามาได้ตลอดเวลา เมื่อมีข้อมูลหลุดของผู้สูงอายุออกไป จึงเปรียบเสมือนการที่โจรมีกุญแจผีสามารถไขเข้าสู่บ้านที่มีการป้องกันต่ำ การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้สูงอายุจึงเสมือนการติดตั้งระบบเตือนภัยภายในที่สำคัญที่สุด” นาวาโทศักติพงษ์ กล่าว

ทั้งนี้ ภัยจากมิจฉาชีพยังคงทวีความรุนแรงในประเทศไทย จากสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 1 มี.ค. 65 –  31 ต.ค. 2568คดีออนไลน์ ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่  อันดับหนึ่ง คือการหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 33,244 ล้านบาท อันดับสอง หลอกโอนเงินเพื่อทำงาน มูลค่ากว่า 14,985 ล้านบาท อันดับสาม หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล มูลค่ากว่า 8,814 ล้านบาท และอันดับสี่ หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการที่ไม่เป็นขบวนการ มูลค่ากว่า 5,970 ล้านบาท

ในปัจจุบัน มิจฉาชีพปรับรูปแบบการหลอกลวงให้ซับซ้อนมากขึ้น ทั้งจากหลอกซื้อสินค้าไปสู่การหลอกลงทุน รวมถึงหลอกโกงมิเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้แนวทางโทรศัพท์มาเสนอว่าจะมีการเปลี่ยนมิเตอร์ให้ฟรี ทั้งนี้ เบอร์โทรศัพท์มิจฉาชีพ ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วย 949 หรือเบอร์จากต่างประเทศที่มีตัวเลขขึ้นต้นแปลก ๆ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง


เตือนภัย มิจฉาชีพอ้างเป็นจนท.การไฟฟ้าทวงค่าไฟย้อนหลัง พุ่งเป้าบ้านผู้สูงอายุ

ปี 2569 ระวัง! “มุกลวงใหม่” กำลังมา “มุกลวงเก่า” จะหนักกว่าเดิม