
สภาผู้บริโภคยื่นนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค 9 ด้าน ต่อพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมสนับสนุน ทั้งการจัดการภัยไซเบอร์ เมืองที่เป็นธรรม เป็นผลดีต่อผู้บริโภค ยกระดับสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว
สภาผู้บริโภค เดินสายพบพรรคการเมือง นำเสนอนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค 9 ด้าน ภายใต้แนวคิด “ง่าย ดี มีคะแนน” เพื่อให้พรรคพร้อมนำไปใช้เป็นนโยบายเมื่อได้เป็นรัฐบาล ยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคเช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมร่วมมือผลักดันนโยบายสภาผู้บริโภค
วันที่ 30 ธันวาคม 2568 สภาผู้บริโภค นำโดย บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาบริโภค และ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค พร้อมผู้บริหาร เข้าพบพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วยกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมรับฟัง โดยเห็นพ้องร่วมกันว่านโยบายทั้ง 9 ด้านของสภาผู้บริโภคมีความสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค และให้ความสนใจนำไปขับเคลื่อนนโยบายในระยะต่อไป

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคมีพันธกิจในการผลักดันการคุ้มครองผู้บริโภคสู่นโยบายที่ปฏิบัติได้จริง จึงได้ไปพบพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อเสนอนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค 9 ด้าน เพื่อให้พรรคการเมืองนำไปใช้และผลักดันนโยบายให้สอดคล้องกัน เนื่องจากการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาประเทศ เห็นได้อย่างชัดเจนในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และกลุ่มประเทศในยุโรป ต่างให้ความสำคัญกับกับการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้บริโภคจึงต้องการใช้โอกาสในการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนในการพาประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคที่มากขึ้น
สำหรับนโยบาย 9 ด้าน เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกภัยมิจฉาชีพออนไลน์ มีทั้งภัยออนไลน์ เสนอตั้งกองทุนเยียวยาเบื้องต้นจากภัยมิจฉาชีพออนไลน์ ด้านสินค้าและบริการทั่วไปเสนอให้โซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มต้องขึ้นทะเบียนผู้ขาย ด้วยระบบยืนยันตัวตนผู้ขาย (e-KYM) ด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม เสนอให้มีแพ็กเกจพื้นฐานราคาถูก เช่น ราคาไม่เกิน 100 บาท ได้เน็ต 70 กิกะไบต์ (GB) ความเร็ว 5 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) ทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้จริง หลังพบว่าการควบรวมค่ายมือถือทำให้แพ็กเกจราคาถูกหายไปจากตลาด
กลุ่มที่สองเมืองที่เป็นธรรม ด้านขนส่งและยานพาหนะเสนอจัดตั้งกองทุนขนส่งสาธารณะทุกจังหวัด โดยใช้เงินจากภาษีล้อเลื่อนมาบริหารจัดการโดยท้องถิ่นเอง และยกเลิกรถโดยสาร 2 ชั้น เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร พร้อมกำหนดเพดานค่าเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะไม่เกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ ทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เสนอให้นำที่ดินของรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทำเป็นพื้นที่รับน้ำจากอุทกภัยและที่พักพิงจากภัยพิบัติ ด้านพลังงานเสนอให้หยุดสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ เปิดฟรีโซลาร์เซลล์ภาคประชาชน เพื่อช่วยลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ให้ครัวเรือน
กลุ่มที่สามคุณภาพชีวิต เสนอให้ยกเลิก พ.ร.บ.อาหาร ฉบับปัจจุบันที่ล้าหลัง เพิ่มอำนาจเรียกคืนสินค้าไม่ปลอดภัย และให้มีตัวแทนสภาผู้บริโภคอยู่ในคณะกรรมการอาหาร เพิ่มกระบวนการตรวจสอบเพื่อให้ประชาชนได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย และส่งเสริมให้มีตลาดอินทรีย์ทุกจังหวัด รวมถึงเพิ่มบทลงโทษผู้ผลิตหรือนำเข้าอาหารที่ไม่ปลอดภัยให้มากขึ้น ส่วนระบบสุขภาพเสนอให้รัฐจ่ายเงิน 3 กองทุนสุขภาพอย่างเท่าเทียม คุมค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลให้มีมาตรฐานใกล้เคียงกัน และด้านการศึกษาเสนอนโยบายเรียนฟรีต้องฟรีจริง โดยเฉพาะสายอาชีพ และใช้เงินจากกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษามาใช้ให้นักเรียนมีโอกาสเรียนจบได้ถึงระดับปริญญาตรี

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และ กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต่างมีท่าทีตอบรับต่อข้อเสนอนโยบาย 9 ด้านในเชิงบวก โดยเห็นพ้องในหลายประเด็นว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไขในระดับนโยบาย ทั้งเรื่องการจัดการปัญหาภัยออนไลน์ที่ต้องมีการจัดตั้งกองทุนเยียวยาเบื้องต้น การจัดทำระบบยืนยันตัวตนผู้ขาย รวมถึงการปฏิรูปองค์กรกำกับดูแลต่างๆ เช่น กสทช. เพื่อผลักดันนโยบายคุ้มครองผู้บริโภคให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การทำระบบขนส่งสาธารณะที่ต้องสร้างความเท่าเทียม พร้อมกำหนดเพดานราคาค่าโดยสาร และหาแนวทางกำกับดูแลความปลอดภัยของรถโดยสาร 2 ชั้น
ด้านพลังงาน มีนโยบายที่สอดคล้องกับสภาผู้บริโภค กับการเปิดเสรีโซลาร์เซลล์ และมีเป้าหมายลดสัดส่วนการใช้ก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้า ส่วนด้านการศึกษา พรรคประชาธิปัตย์ มีนโยบายเรียนฟรี ต้องฟรีจริง เช่นเดียวกับสภาผู้บริโภค และเห็นด้วยกับการแก้ไข พ.ร.บ.อาหารที่ต้องปรับให้เข้ากับยุคสมัย
ทางด้าน บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาผู้บริโภค กล่าวย้ำว่า พรรคการเมืองคือผู้ที่กำหนดนโยบายของประเทศ สภาผู้บริโภคจึงนำเสนอนโยบายคุ้มครองผู้บริโภคต่อพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อให้นำไปขับเคลื่อนนโยบายที่สร้างผลดีต่อผู้บริโภค สำหรับผลการหารือร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์พบว่ามีนิมิตหมายที่ดีจากข้อเสนอหลายด้านมีความคิดเห็นต่างๆ สอดคล้องกัน
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภค ได้ขับเคลื่อนนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค 9 ด้าน สู่พรรคการเมือง โดยเดินสายพบพรรคการเมืองต่างๆ ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน พรรคไทยก้าวใหม่ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีกำหนดพบพรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ 6 ม.ค. 2569 พร้อมกันนี้ จะมีการจัดเวทีใหญ่สำหรับพรรคการเมือง ในวันที่ 7 มกราคม 2569 ตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น. เพื่อนำเสนอนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค 9 ด้าน และเปิดพื้นที่ให้พรรคการเมืองนำเสนอนโยบายด้านผู้บริโภคต่อสาธารณะ ทั้งนี้ ได้เชิญชวนผู้บริโภค พรรคการเมืองต่าง ๆ และสื่อมวลชนเข้าร่วมในวันและเวลาดังกล่าว
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



