กทม.-นนท์ ไม่ปล่อยผ่าน! เดินหน้าอาหารปลอดภัย ทั้งเฝ้าระวัง-แก้ปัญหาเต็มสูบ

Getting your Trinity Audio player ready...

เรื่องเล่าจากพื้นที่ครั้งนี้พาไปติดตามภารกิจอาหารปลอดภัยในกรุงเทพมหานครและนนทบุรี ตั้งแต่เวทีประชุมที่รวมหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน และเครือข่ายผู้บริโภค จนถึงการลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้า ตลาดสด และผู้ประกอบการ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม ภารกิจนี้ไม่ได้จำกัดเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสร้างระบบป้องกันเชิงรุกให้ประชาชนมั่นใจในสิทธิของตนเอง รวมถึงติดตามเคสร้องเรียนในกรุงเทพฯ ที่ผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากผู้ประกอบการร้านอาหารจนส่งผลต่อสุขภาพ

นางสาวปาณิสรา กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ณ ห้องประชุมมหาเจษฎาบดินทร์ ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี คึกคักด้วยผู้เข้าร่วมจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ นักการเมือง ผู้แทนองค์กรผู้บริโภค ผู้เชี่ยวชาญ และภาคประชาชนที่ตั้งใจมาร่วมแลกเปลี่ยน “เฝ้าระวังอาหารปลอดภัย” นางสาวปาณิสรา กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เปิดงานด้วยการย้ำว่าการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยคือจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดี และเป็นหน้าที่ของทั้งภาครัฐและประชาชนในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบ การส่งเสริมมาตรฐานอาหาร ตั้งแต่การผลิต แปรรูป ขนส่ง ไปจนถึงการจำหน่ายในตลาดและร้านอาหาร นอกจากมาตรการ “น้ำแข็งโอเค” ที่จังหวัดนำมาใช้ตรวจคุณภาพน้ำแข็งและมอบตรารับรองแก่ผู้ประกอบการแล้ว

รองผู้ว่าฯ ยังกล่าวถึงการตรวจสอบโรงงานอาหารขนาดใหญ่ในจังหวัด เช่น โรงงานหมูปิ้ง ที่ถือเป็นแหล่งผลิตสำคัญซึ่งกระจายสินค้าไปยังจังหวัดใกล้เคียง เน้นย้ำว่าการกำกับดูแลแหล่งอาหารเชิงอุตสาหกรรมเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค

และยังกล่าวถึงความจำเป็นในการให้ความรู้แก่ภาคประชาชน เพื่อให้สามารถเฝ้าระวังความปลอดภัยของอาหารที่บริโภคได้ด้วยตนเอง พร้อมทิ้งท้ายว่า “การดูแลป้องกันควรเริ่มจากอาหารเป็นเรื่องแรก” โดยเฉพาะในจังหวัดนนทบุรีซึ่งมีประชากรหนาแน่น และกว่า 20% ของประชากรเป็นผู้สูงอายุ กลุ่มนี้จึงต้องได้รับการคุ้มครองและเฝ้าระวังด้านอาหารที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

นางสาวสุภาพร ถิ่นวัฒนากูล รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค

นางสาวสุภาพร ถิ่นวัฒนากูล รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวถึงบทบาทของสภาผู้บริโภคที่ทำงานแตกต่างจาก สคบ. โดยสภาสามารถฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการคุ้มครองสิทธิ พร้อมเล่าถึงผลงานที่ผ่านมา เช่น การช่วยเหลือผู้บริโภคกว่า 280 คดี มูลค่าเยียวยากว่า 66 ล้านบาท รองเลขาธิการฯ ชี้ว่า ปัญหาผู้บริโภคอันดับต้น ๆ ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ การซื้อสินค้าออนไลน์ แอปเงินกู้ และ SMS หลอกลวง พร้อมเผยโครงการใหม่ “เปิดกล่องก่อนจ่าย COD” ที่เริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2567 สะท้อนพลังการทำงานร่วมกันของหลายฝ่าย และแนวคิดที่จะผลักดันกฎหมายใหม่ เช่น กฎหมายอาหาร กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค และกฎหมายเลมอนลอว์ เพื่อยกระดับการคุ้มครองให้ทันต่อสถานการณ์

ต่อจากนั้นเข้าสู่ช่วง เสวนาเข้มข้น จากเคมีในอาหารถึงตลาดเขียว กล่าวถึงบทบาทของสภาผู้บริโภคที่ทำงานแตกต่างจาก สคบ. โดยสภาสามารถฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการคุ้มครองสิทธิ พร้อมเล่าถึงผลงานที่ผ่านมา เช่น การช่วยเหลือผู้บริโภคกว่า 280 คดี มูลค่าเยียวยากว่า 66 ล้านบาท คุณพงศ์ธร จันทรัศมี หัวหน้าฝ่ายสนับสนุนสมาชิกและองค์กรของผู้บริโภค ผู้ดำเนินการเสวนา และได้ผู้เชี่ยวชาญหลายด้านสะท้อนประเด็นที่หลากหลายร่วมกัน

  • ด้านความปลอดภัยอาหาร นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ อนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ เล่าถึงสถิติร้องเรียนอาหารที่พบบ่อย เช่น อาหารหมดอายุ อาหารไม่ตรงปก หรือปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอม พร้อมแนะระบบเฝ้าระวังเชิงรุกและการใช้ Thai-RASFS (ระบบแจ้งเตือนภัยอาหารแบบเปิด) เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วและเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อคนทำงานอีกด้วย และล่าสุดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ได้ร่วมพูดคุยในงานเสวนา “ระบบอาหารปลอดภัย จากรัฐสภาไทยสู่ประชาชน” สามารถรับชมย้อนหลังได้ ที่นี่
  • ด้านการขับเคลื่อนท้องถิ่น นางสาววิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา เลขานุการ อบจ.นนทบุรี เสนอแนวคิดสร้างช่องทางออนไลน์ระดับจังหวัด เช่น ไลน์หรือเพจเฉพาะ เพื่อให้ผู้บริโภคแจ้งปัญหาได้ง่ายขึ้น พร้อมเล่าถึงบทบาทอบจ.ที่สนับสนุนเกษตรกรให้ผลิตอาหารปลอดภัย เช่น การช่วยเรื่องปุ๋ยอินทรีย์และตลาดจำหน่าย
  • เสียงจากสภานโยบายอาหาร คุณวัลลภา แวน วิลเลียนส์วาร์ด สภานโยบายอาหาร จังหวัดนนทบุรี เสนอแนวทางยกระดับ “ตลาดเขียว” และเครือข่ายโรงเรียนอาหารสุขภาวะ โดยอ้างอิงโมเดลต่างประเทศ เช่น เมืองมิลานและอัมสเตอร์ดัม ที่เชื่อมโยงนโยบายอาหารกับการสร้างอาชีพและสุขภาพของประชาชน
  • นักวิชาการสาธารณสุข นางสุภัชญา ยศประกอบ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ กองสุขศึกษา กระทรวงสาธารณสุข ชี้ว่าการสื่อสารความเสี่ยงและปรับพฤติกรรมการกิน คือหัวใจของการป้องกัน เธอเตือนถึงการบริโภคหวาน มัน เค็ม เนื้อสัตว์ดิบ และการกินหมูกระทะในวัยรุ่น ซึ่งล้วนต้องอาศัยการรณรงค์และเครื่องมือสื่อสารใหม่ ๆ เช่น อินโฟกราฟิกที่เข้าถึงได้ง่าย
  • เสียงจากองค์กรผู้บริโภคในพื้นที่ นางจินตนา กวาวปัญญา ประธานศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคประชาชนจังหวัดนนทบุรี (องค์กรสมาชิกสภาผู้บริโภค ลำดับที่ 17) เล่าประสบการณ์รับร้องเรียนด้านอาหารที่สะท้อนปัญหาจริง เช่น อาหารปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอม อาหารหมดอายุใกล้วันหมดอายุ หรือการขายสินค้าลดราคาที่ไม่โปร่งใส ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคยังขาดความรู้เรื่องการเก็บหลักฐานร้องเรียน

ช่วงบ่าย เวทีแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นเต็มไปด้วยบรรยากาศสนุกสนานและตั้งใจ เครือข่ายองค์กรของผู้บริโภคร่วมกันออกแบบ “กลไกคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดนนทบุรี” ข้อเสนอที่เด่นชัด โดยมีหัวข้อประเด็นหลัก ๆ ดังนี้

  • สร้างเครือข่ายตลาดอาหารปลอดภัย
  • กำหนดมาตรฐานร้านอาหารรายย่อย
  • เพิ่มช่องทางร้องเรียนและการสื่อสารที่เข้าถึงง่าย
  • ส่งเสริมการปลูกและบริโภคผักปลอดสารในครัวเรือน

1. การลงพื้นที่สำรวจ เจ้าหน้าที่หน่วยงานประจำจังหวัดและเครือข่ายทำหน้าที่เสมือน “ด่านหน้า” ในการเฝ้าระวัง โดยมีการออกตรวจตลาด ร้านขายของชำ และสถานที่จำหน่ายอาหารในชุมชนเป็นประจำ จุดมุ่งหมายคือการตรวจสอบว่าสินค้าที่จำหน่ายยังคงคุณภาพ ไม่หมดอายุ ไม่เสื่อมสภาพ และแวดล้อมสถานที่สะอาดถูกสุขลักษณะ หากพบปัญหา เช่น น้ำดื่มที่ไม่มีเลข อย. ทั้งบนฉลากและในระบบการผลิต หน่วยงานจะไม่เพียงแต่บันทึกข้อเท็จจริง แต่ยังรวบรวมหลักฐานส่งต่อไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อประสานผู้ผลิตให้ดำเนินการแก้ไขโดยทันที กระบวนการนี้ไม่เพียงคุ้มครองผู้บริโภค แต่ยังเป็นแรงกดดันเชิงบวกให้ผู้ประกอบการรักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

2. การให้ความรู้และการประชาสัมพันธ์ ภารกิจอีกด้านที่สำคัญไม่แพ้การตรวจสอบคือการสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางความรู้” ให้กับประชาชน หน่วยงานได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และสื่อแจ้งเตือนภัยในหลายรูปแบบ ตั้งแต่แผ่นพับ อินโฟกราฟิก ไปจนถึงการสื่อสารผ่านออนไลน์ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตระหนักถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเอง นอกจากนี้ยังมีการจัดเวทีประชุมและอบรมในพื้นที่ เพื่อสอนเทคนิคพื้นฐานที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง เช่น การอ่านฉลากสินค้า การตรวจสอบวันผลิตและวันหมดอายุ ตลอดจนการคิดให้รอบคอบก่อนเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางที่ผู้บริโภคจำนวนมากมักถูกเอาเปรียบ การให้ความรู้ในเชิงรุกเช่นนี้ ทำให้ผู้บริโภคสามารถปกป้องตัวเองได้ในระดับครัวเรือนและชุมชน

3. การรับเรื่องร้องเรียนและการไกล่เกลี่ย หัวใจสำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภคคือการเป็นที่พึ่งในยามเดือดร้อน หน่วยงานไม่เพียงเปิดช่องทางให้ผู้บริโภคส่งเรื่องร้องเรียน แต่ยังดำเนินบทบาท “คนกลาง” ในการไกล่เกลี่ยระหว่างผู้ร้องกับผู้ประกอบการ โดยมีเป้าหมายเพื่อหาทางออกที่เป็นธรรมและการเยียวยาที่เหมาะสมแก่ผู้เสียหาย การทำงานในลักษณะนี้ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการตระหนักและเพิ่มความระมัดระวังในการผลิตและจำหน่ายสินค้า เพราะทุกเคสการร้องเรียนคือบทเรียนที่สะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคม

เมื่อเดือนมีนาคม 2568 มีผู้ร้องเรียนรายหนึ่งต้องเผชิญปัญหาสุขภาพจาก ละอองน้ำมัน ที่กระเด็นออกมาจากร้านอาหารฝั่งตรงข้ามบ้านทุกวันจนเกิดการสะสมในระยะยาว สภาพบ้านเต็มไปด้วยคราบเหนียวเกาะตามผนังและเฟอร์นิเจอร์ ทำให้ผู้ร้องมีอาการเจ็บคอ หายใจไม่สะดวก และผื่นแพ้ผิวหนังรบกวนการใช้ชีวิต ความน่าเห็นใจคือ ผู้ร้องไม่กล้าแจ้งความด้วยตนเองเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยของครอบครัวที่มีเพียงผู้สูงอายุอยู่ร่วมด้วย

เพื่อยืนยันความเดือดร้อน ผู้ร้องจึงไปพบแพทย์ ตรวจสุขภาพ และได้รับ ใบรับรองแพทย์ ซึ่งกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้ประกอบการร้องเรียนต่อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและหน่วยงานประจำจังหวัดกรุงเทพมหานคร สภาผู้บริโภค จากนั้นหน่วยงานจึงเข้ามาเป็นตัวกลาง ประสานทั้งร้านอาหารและสำนักงานเขต แม้จะพบอุปสรรคในขั้นตอนการติดต่อและการตอบสนอง แต่สุดท้ายสามารถผลักดันให้เกิดการนัดเจรจาไกล่เกลี่ย จนนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ร้านค้าดำเนินการปรับปล่องควันให้สูงขึ้น ลดการกระเด็นของละอองน้ำมันลงได้

แม้กรณีนี้ยังคงต้องมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ตอกย้ำให้เห็นว่า ภารกิจทั้งสามด้านของงานคุ้มครองผู้บริโภคไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด หากแต่เป็นการทำงานจริงที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของประชาชน ผู้ร้องได้รับทั้งความยุติธรรมและโอกาสในการกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

บทเรียนจากการตรวจสอบเชิงพื้นที่ ไปจนถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของผู้ร้องเรียน สะท้อนว่า “การคุ้มครองผู้บริโภค” ไม่ได้เป็นเพียงนโยบาย แต่คือภารกิจที่ทำให้ประชาชนมีที่พึ่ง มีเสียง และมีความมั่นใจในสิทธิของตนเอง การที่หน่วยงานต่าง ๆ ลงมาร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ องค์กรภาคประชาชน หรือเครือข่ายท้องถิ่น จึงเปรียบเสมือนเกราะคุ้มกันที่ช่วยสร้างสังคมแห่งความปลอดภัยและความเป็นธรรม

ท้ายที่สุด ผู้บริโภคทุกคนคือพลังสำคัญ ที่จะทำให้ระบบนี้ยั่งยืนได้ การรู้เท่าทันสิทธิของตนเอง การเลือกบริโภคอย่างรอบคอบ และการกล้าแจ้งเบาะแสเมื่อพบสิ่งผิดปกติ ล้วนเป็นการร่วมสร้าง สังคมที่ยั่งยื่นสำหรับทุกคน

หากผู้บริโภคพบปัญหาติดต่อร้องเรียนได้ที่
สภาองค์กรของผู้บริโภค โทร. 1502
หรือร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ complaint.tcc.or.th

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง