
ผู้บริโภคเสี่ยงถูกหลอกจาก ภัยดีพเฟคพุ่ง พบคนดังถูกปลอมหน้า – เสียงเอไอ สภาผู้บริโภคเร่งภาครัฐ – แพลตฟอร์มเทคโนโลยี ช่วยตรวจจับอย่างเป็นระบบ ใช้กลไกระดับอาเซียนร่วมมือ
จากกรณี “บิ๊ก ผู้ใหญ่บ้านฟินแลนด์” เข้าร้องตำรวจไซเบอร์ พบว่ามีผู้ไม่หวังดีนำใบหน้าและเสียงไปตัดต่อเป็นคลิปเชิญชวนเล่นเว็บพนันออนไลน์ สร้างความเข้าใจผิด สะท้อนปัญหาการล่วงละเมิดโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ : AI) ในรูปแบบดีพเฟค (Deepfakes) หรือเทคนิคการปลอมแปลงข้อมูลโดยการใช้เอไอเพื่อสร้างภาพและเสียงปลอมแบบสมจริงจนแทบแยกไม่ออก และในปัจจุบันเริ่มทวีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความเสี่ยงให้แก่ผู้บริโภคต้องระมัดระวังมากขึ้น
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นคู่ขนานกับการบุกตรวจค้นแก๊งสแกมเมอร์ชาวจีน 4 รายที่ย้ายฐานปฏิบัติการจากกัมพูชามากบดานกลางกรุงเทพฯ โดยพบอุปกรณ์และซอฟต์แวร์สำหรับสร้างคลิปดีพเฟคจำนวนมาก ใช้หลอกเหยื่อคนจีนด้วยการปลอมใบหน้าและเสียงให้เหมือนบุคคลใกล้ชิดเพื่อขอเงินหรือชักชวนลงทุน
วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2568) สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ความฉลาดในการประมวลผลจากข้อมูลจำนวนมากโดยเอไอ ทำให้มิจฉาชีพสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในทางผิดได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการเลียนแบบใบหน้าและเสียงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น การปลอมเสียงให้เหมือนลูกสาวโทรมาขอเงิน ซึ่งเป็นตัวอย่างของดีพเฟคที่เหมือนจริงจนผู้บริโภคคาดไม่ถึง
สุภิญญา ระบุว่า ความซับซ้อนของกลโกงเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ขณะที่โครงสร้างการกำกับดูแลยังมีช่องโหว่ เนื่องจากหลายหน่วยงานทำงานแยกส่วน ทำให้เมื่อเกิดความเสียหาย ผู้บริโภคต้องร้องเรียนหลายแห่งในคดีเดียว
“สภาผู้บริโภคเสนอให้ภาครัฐเร่งทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งด้านการกำกับดูแล การสืบสวน และการเยียวยา เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคสอดรับกับความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่มาจากเอไอ” สุภิญญา ระบุ พร้อมเสนอให้มีการผลักดันสร้างกลไกความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เนื่องจากหลายกรณีเกิดบนแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก รวมถึงแพลตฟอร์มมีข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นต่อการตรวจจับและระงับภัยคุกคามได้รวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวระดับภูมิภาคในการประชุมอาเซียน+3 ที่จัดขึ้นเมื่อปี 2567 โดยมีการหารือร่วมกันเพื่อขยับกฎหมายและปลุกความรู้สู้ภัยดิจิทัล ซึ่งสภาผู้บริโภคได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับประเทศสมาชิกในการสร้างกลไกธรรมาภิบาลสำหรับการใช้เอไอ การป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ และการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยในปัจจุบันสหประชาชาติเริ่มกังวลเรื่องผลกระทบของเอไอและหลายประเทศจึงเริ่มสร้างกลไกพูดคุยและกำกับดูแลร่วมกัน สภาผู้บริโภคจึงขอเรียกร้องให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนากฎหมายและความร่วมมือระดับอาเซียน เพื่อให้ผู้บริโภคมีเกราะป้องกันที่เพียงพอในยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ จากการรายงานเหตุการณ์ดีพเฟคไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2025 (Q1 2025 Deepfake Incident Report) จัดโดย Resemble AI 2025 ระบุว่าช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 มีการหลอกลวงจากการใช้เทคโนโลยีดีพเฟคในโลก มากกว่า 163 เหตุการณ์ สร้างมูลค่าความเสียหายสูงถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 6,500 ล้านบาท) โดยภูมิภาคที่มีการหลอกลวงมากสุดคือ อเมริกาเหนือ 38% เอเชีย 27% ยุโรป 21% และภูมิภาคอื่น ๆ 14% ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลายหลักในการหลอกลวง ประกอบด้วย บุคคลที่มีชื่อเสียง นักการเมืองและนักธุรกิจ กลุ่มนักการเมือง และภาคประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง และเด็ก อีกทั้งยังมีกลุ่มองค์กร มีทั้งภาคเอกชน องค์กรภาครัฐ และสถาบันการศึกษา เป็นต้น โดยแนวทางการหลอกลวงมีทั้ง ใช้วิดีโอ 46% ใช้ภาพ 32% และเสียง 22%
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภค ขอเตือนให้ผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังจาก ภัยดีพเฟคพุ่ง หรือการตัดต่อคลิปเชิญชวนต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการพนัน การเงิน การลงทุน หรือธุรกรรมที่มีผลกระทบสูง พร้อมแนะนำ 3 วิธีสังเกตเบื้องต้นว่าอาจเป็นคลิปดีพเฟค ได้แก่ 1. สังเกตความผิดปกติของใบหน้า ปาก หรือโทนเสียง เช่น ขยับปากไม่สัมพันธ์กับเสียง 2. ตรวจสอบช่องทางต้นทาง หากเป็นบัญชีที่ไม่ใช่ของจริง หรือไม่มีข้อมูลยืนยันตัวตน ให้สงสัยไว้ก่อน และ 3. ระวังทุกคลิปที่มีลิงก์นำไปสู่เว็บพนันหรือผลประโยชน์ทางการเงิน เพราะเป็นรูปแบบหลอกลวงที่พบมากที่สุด ทั้งนี้ หากพบความผิดปกติ ควรบันทึกหลักฐานและแจ้งหน่วยงานไปที่สายด่วนตำรวจไซเบอร์ โทร. 1441 หรือแจ้งเบาะแสเข้าที่สภาผู้บริโภค ผ่านออนไลน์ที่ เว็บไซต์สภาผู้บริโภค
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



