AIS จ่อซื้อลูกค้า NT ซ้ำเติมผูกขาดตลาด ผลักรัฐไทยไร้พื้นที่คลื่นมือถือ

Getting your Trinity Audio player ready...

สภาผู้บริโภคเตือนดีล AIS ซื้อฐานลูกค้า NT เสี่ยงผูกขาดตลาดมือถือ เหลือผู้ให้บริการเพียง 2 รายใหญ่ ชี้รัฐยังไร้ท่าทีอนุมัติให้ NT เข้าร่วมประมูลคลื่น เสี่ยงทำรัฐวิสาหกิจหมดสิทธิแข่งขัน ถามหาบทบาท กสทช. เหตุยังไร้มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมการแข่งขัน

จากกระแสข่าวที่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AIS เสนอซื้อฐานลูกค้าของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมของประเทศ ได้สร้างความกังวลว่านี่ไม่ใช่เพียงการซื้อขายเชิงธุรกิจ แต่เสี่ยงทำให้กิจการโทรคมนาคมของไทย ตกอยู่ภายใต้การผูกขาดตลาดอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเหลือผู้ให้บริการหลักเพียง 2 รายใหญ่เท่านั้น

วันที่ 21 พฤษภาคม 2568 สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการนโยบาย สภาผู้บริโภค แสดงความคิดเห็นว่า ดีลการซื้อฐานลูกค้าของ NT โดย AIS นั้น ไม่ควรเกิดขึ้น และขอเรียกร้องให้รัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่สนับสนุนการครอบครองกิจการ (Takeover) ซึ่งเป็นการควบรวมธุรกิจในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ซ่อนอยู่ภายใต้การอ้างว่าเป็นเพียงการซื้อฐานลูกค้า พร้อมเรียกร้องให้กรรมการบริหารของ NT และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ออกมาชี้แจงและแสดงวิสัยทัศน์ต่อสาธารณะว่าจะยังคงให้ NT เป็นผู้เล่นในตลาดเพื่อความสมดุล และรักษาอธิปไตยของประเทศด้านการสื่อสารไว้

สุภิญญา ระบุว่า การที่ NT กำลังจะถอยออกจากตลาดมือถือ ไม่ว่าจะด้วยการไม่ขยายฐานลูกค้า หรือไม่เข้าร่วมการประมูลคลื่นความถี่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ล้วนเป็นสัญญาณอันตรายของการล่มสลายของหน่วยงานรัฐในกิจการโทรคมนาคม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออธิปไตยของประเทศในระยะยาว เพราะคลื่นความถี่ถือเป็นทรัพยากรสาธารณะที่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ซึ่งหากรัฐสูญเสียส่วนแบ่งในการครอบครองคลื่นสัญญาณมือถือ ปล่อยให้อยู่ในมือเอกชนเพียงสองรายที่มีลักษณะการผูกขาดอย่างสมบูรณ์แบบจะทำให้เสียสมดุลในธุรกิจโทรคมนาคมที่มีมูลค่าทางการตลาดหลายหมื่นล้าน และจะเกิดผลเสียหากประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤติ

“แม้ว่า NT จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดค่อนข้างน้อย และถูกมองว่าเป็นผู้เล่นรายเล็กในตลาดมือถือ แต่ยังคงมีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เลือกใช้บริการ NT เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการทางเลือกในตลาดยังคงมีอยู่จริง หาก NT ต้องหลุดจากสมรภูมินี้ ก็เท่ากับว่าประชาชนจะถูกบังคับให้เลือกใช้งานจากผู้ให้บริการค่ายมือถือเพียงสองราย คือ AIS และทรู (ที่ควบรวมดีแทคไปแล้ว) รวมถึงอินเทอร์เน็ตบ้านที่มีการควบรวมกันระหว่าง AIS และ 3BB ซึ่งเป็นสถานการณ์ผูกขาดอย่างสมบูรณ์” สุภิญญา ระบุ

ความน่ากังวลเพิ่มขึ้นเมื่อพบว่าในขณะที่การประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่ ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้กำลังใกล้เข้ามา แต่จนถึงขณะนี้คณะรัฐมนตรีก็ยังไม่ได้มีมติอนุมัติให้ NT เข้าร่วมประมูล ขณะเดียวกันกรรมการบริหารของ NT ก็ยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนหรือประกาศแผนใด ๆ ว่าจะเข้าร่วมแข่งขันเพื่อรักษาคลื่นความถี่ไว้ ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่ NT จะสามารถมีคลื่นของตัวเองในอนาคตก็จะยิ่งริบหรี่ลงไปอีก และเปิดทางให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้าสู่ตลาดแบบไร้คู่แข่ง

กรรมการนโยบาย สภาผู้บริโภค ยังตั้งข้อสังเกตว่า กติกาการประมูลที่อยู่ในกระบวนการจัดทำโดย กสทช.ขณะนี้ยังไม่มีหลักประกันที่ชัดเจนว่าจะเอื้อต่อการแข่งขัน หรือเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายใหม่หรือรายเล็กสามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างแท้จริง ทั้งยังไม่มีข้อกำหนดด้านการควบคุมราคาค่าบริการ หรือกลไกคุ้มครองผู้บริโภคอย่างรัดกุม หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ การประมูลก็จะตกอยู่ในกำมือของทุนใหญ่ และผู้บริโภคก็จะไร้ทางเลือก โดยอำนาจต่อรองจะถูกผูกไว้กับสองรายใหญ่แทบทั้งหมด ดังนั้น จึงเห็นว่าดีลการซื้อฐานลูกค้า NT โดย AIS นั้น ไม่ควรเกิดขึ้น

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ในช่วงที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้ติดตามและตรวจสอบการควบรวมกิจการโทรคมนาคมอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ทั้งกรณีทรู – ดีแทค และ AIS – 3BB พร้อมทั้งยื่นหนังสือ เสนอข้อคิดเห็นเชิงนโยบาย และสะท้อนความกังวลของประชาชนต่อรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอบางประการ เช่น การออกแบบกติกาประมูลเพื่อส่งเสริมผู้เล่นรายใหม่ การกำหนดราคาค่าบริการขั้นสูง – ขั้นต่ำ หรือการเปิดเผยข้อมูลการวิเคราะห์ผลกระทบต่อผู้บริโภค กลับไม่ได้รับการตอบสนองอย่างจริงจัง

ดังนั้น ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 นี้ สภาผู้บริโภคเตรียมเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายของสภาผู้บริโภคเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อพิจารณาถึงแนวทางการดำเนินงานต่อไป รวมถึงอาจพิจารณาใช้กลไกการตรวจสอบในระดับที่สูงขึ้น หากยังไม่มีหน่วยงานใดลุกขึ้นมารับผิดชอบเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร องค์กรอิสระอย่าง กสทช. หรือแม้แต่ฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งนี้ หนึ่งในทางเลือกสุดท้ายที่สภาผู้บริโภคอาจพิจารณา คือ การดำเนินการผ่านกระบวนการยุติธรรม เช่น การยื่นเรื่องต่อศาลปกครอง หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หากพบว่าอาจเข้าข่ายละเมิดหลักการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในตลาด

“กรณีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องผู้บริโภคเสียประโยชน์ แต่คือสัญญาณเตือนระดับชาติว่าเรากำลังเดินถอยหลังกลับไปสู่ยุคโทรคมนาคมที่ไร้ทางเลือกและทุนใหญ่ผูกขาดทุกมิติ หากปล่อยผ่านไป ก็จะไม่มีวันย้อนกลับมาแก้ไขอะไรได้อีก” สุภิญญากล่าวทิ้งท้าย พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตื่นตัวและจับตามองอย่างใกล้ชิด