
สภาผู้บริโภคจี้ กสทช. เร่งคลอดโรดแมปทีวีดิจิทัล เตือน การแช่แข็งนโยบาย เสี่ยงทำฟรีทีวีจอดับ กระทบกลุ่มเปราะบางมากสุด ต้องดูทีวีอ่านเน็ต เปิดทางทุนผูกขาด-มิจฉาชีพ
สถานการณ์อุตสาหกรรมโทรทัศน์ไทยก้าวสู่ช่วงความเสี่ยงสูงสุด เมื่อกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลและสมาคมทีวีดิจิทัล เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครองต่อ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หลังจากไม่มีการพิจารณาวาระ “โรดแมปทีวีดิจิทัล” และแผนกำกับดูแลรายการโทรทัศน์ที่แพร่ภาพและเสียงบนอินเทอร์เน็ต (OTT) มานานกว่า 2 ปีนั้น
สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า การที่คณะกรรมการ กสทช. ไม่มีแผน “โรดแมปทีวีดิจิทัล” และแผนกำกับดูแลรายการโทรทัศน์ที่แพร่ภาพและเสียงบนอินเทอร์เน็ต หรือระบบ โอทีที (OTT : Over the Top) มาเป็นเวลากว่า 2 ปีนั้น ปัญหาหลักเกิดจากความขาดเอกภาพภายในบอร์ด และความเหลื่อมล้ำในการพิจารณาวาระ ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าวาระด้านโทรคมนาคม เช่น การควบรวมค่ายมือถือ กลับได้รับความสำคัญและผ่านการอนุมัติอย่างรวดเร็ว แต่ในทางกลับกันวาระด้านทีวีดิจิทัลและวิทยุชุมชนกลับถูกทำให้กลายเป็นเสียงที่ถูกลืม และถูกด้อยค่าลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้เสนอทางออกให้ กสทช. เร่งตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยการแสดงความกล้าหาญทางจริยธรรมในการตัดสินใจ ดังนี้ 1. เร่งจัดทำแผนทีวีดิจิทัล โดยไม่ว่าจะผ่านวาระการประชุมของคณะกรรมการ กสทช. หรือไม่ สามารถตัดสินใจเพื่อให้เอกชนใช้สิทธิ์ทางปกครองต่อไปได้ แต่ไม่ใช่การแช่แข็งปัญหาไว้เช่นนี้ อีกแนวทางสามารถเสนอแก้กฎหมายหรือการออกแบบการประมูลใหม่ได้ 2. ส่วนแนวทางการออกแบบการประมูลใหม่ ไม่ควรเน้นที่ราคาประมูลสูงเกินไป แต่ควรสอดคล้องกับสภาพตลาดที่จำนวนคนดูน้อยลง และไม่จำเป็นต้องเน้นการเคาะราคาที่สูงจนเกินไปเหมือนในอดีต แต่ควรเน้นไปสร้างเงื่อนไขเพื่อประโยชน์สาธารณะ 3. เพิ่มเงื่อนไขคุ้มครองผู้บริโภค โดยหากเอกชนได้คลื่นในราคาที่เหมาะสม ต้องแลกด้วยเงื่อนไขการทำรายการเพื่อเด็ก เยาวชน คนพิการ และมาตรการความปลอดภัยไซเบอร์ที่เป็นบริการขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่บริการเสริมที่ต้องเสียเงิน และ 4. การจัดสรรช่วงความถี่ที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดผู้เล่นรายย่อยหรือทีวีชุมชน
“กสทช. ต้องแสดงความกล้าหาญทางจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย การเพิกเฉยต่อโรดแมปทีวีดิจิทัลไม่ใช่แค่ปัญหาทางธุรกิจ แต่คือการทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลข่าวสารของประเทศ ถึงเวลาที่ กสทช. ต้องเลิกแช่แข็งปัญหา หันมาคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคอย่างจริงจัง ก่อนที่ฟรีทีวีของประชาชนจะกลายเป็นเพียงอดีต” สุภิญญา กล่าว
ทั้งนี้จากความไม่ชัดเจนที่ทำให้เกิดสุญญากาศในการกำกับดูแล โดยหากปล่อยให้ใบอนุญาตหมดอายุในปี 2572 โดยไม่มีแผนรองรับอาจเกิดสภาวะ “จอดับ” ที่สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภคอย่างมหาศาล และที่น่าห่วงมากสุดคือ การทำให้ฟรีทีวีต้องยุติการออกอากาศในประเทศไทย จากความไม่ชัดเจนของนโยบาย กสทช. แตกต่างจากในต่างประเทศที่ยังกำหนดนโยบายให้ต้องมีฟรีทีวี เพื่อทำให้ทุกคนได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างเท่าเทียม
สำหรับมุมมองในเรื่องฟรีทีวีนั้น ยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย และควรดำรงอยู่ต่อไปอีกอย่างน้อย 5-10 ปี จากเหตุผลเชิงลึกและแนวทางสนับสนุนหลายด้าน เนื่องจากการเป็นบริการพื้นฐานสำหรับผู้มีรายได้น้อยและคนที่อยู่ในพื้นที่ชนบท ดังนั้นฟรีทีวีถือเป็นบริการขั้นพื้นฐาน ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าถึง ซึ่งหากฟรีทีวีหายไป ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ คนในชนบท หรือผู้ที่มีรายได้น้อย จะถูกผลักให้ไปรับข้อมูลข่าวสารผ่านทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว ซึ่งมีต้นทุนค่าอินเทอร์เน็ตที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น และบางกลุ่มอาจไม่มีเงินจ่ายค่าอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ขณะเดียวกันพฤติกรรมการรับชมของคนหลายช่วงวัย แม้ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไป แต่คนกลุ่มเจเนอเรชันเอ็กซ์ และเบบี้บูมเมอร์ ยังคงมีความคุ้นเคยและต้องการดูข่าวหรือละครผ่านจอทีวีเพื่อความผ่อนคลายและประหยัดค่าใช้จ่าย การรับชมทีวีที่บ้านยังเป็นกิจกรรมที่สมาชิกในครอบครัวสามารถทำร่วมกันได้ ซึ่งต่างจากการดูผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
อีกสิ่งที่น่ากังวลคือ การป้องกันการผูกขาดของกลุ่มทุนโทรคมนาคม โดยหากฟรีทีวีหายไปจากประเทศไทย ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือผู้ให้บริการโทรคมนาคม ทั้งค่ายมือถือและผู้ให้บริการเน็ต ซึ่งปัจจุบันมีผู้เล่นหลักเพียง 2 ราย สิ่งนี้จะนำไปสู่ปัญหาเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง” เนื่องจากราคาค่าบริการอินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งทีวีไม่ได้เป็นเพียงโมเดลธุรกิจ แต่ยังเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” และเป็นพื้นที่สำหรับคอนเทนต์ที่มีความสร้างสรรค์ ซึ่งผู้สร้างควรมีช่องทางในการแสดงผลงานนอกเหนือจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของต่างชาติ
“ความเสี่ยงจากสุญญากาศทางนโยบาย ในปัจจุบันใบอนุญาตทีวีดิจิทัลจะหมดอายุในปี 2572 หาก กสทช. ยังดองวาระ และไม่มีโรดแมปที่ชัดเจนภายใน 5 ปีข้างหน้า อาจทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้าลงทุนต่อจนเกิดสภาวะจอดับ หรือทำให้ฟรีทีวีเหลือเพียงช่องของรัฐและกลุ่มทุนใหญ่เท่านั้น ซึ่งจะจำกัดทางเลือกของผู้บริโภคอย่างมาก ในระยะยาว ผู้ที่จะได้รับประโยชน์คือผู้ให้บริการโทรคมนาคมเพียงไม่กี่รายที่มีอำนาจเหนือตลาด ส่วนผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง และอาจต้องกลับไปเผชิญกับยุคที่ทีวีถูกครอบงำโดยรัฐหรือกลุ่มทุนการเมืองใหญ่เท่านั้น” สุภิญญา กล่าว
นอกจากนี้ การที่ กสทช. มีความล่าช้าในการทำแผนกำกับดูแลโอทีที ไม่เพียงแต่สร้างความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์ม แต่ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ปัจจุบันมีปัญหาข้อพิพาทเรื่องการนำคอนเทนต์ฟรีทีวีไปออกอากาศบนโอทีที รวมถึงปัญหาการเข้าถึงรายการกีฬาสำคัญ อาทิ ซีเกมส์ ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการไม่มีกติกาที่ชัดเจนยังเปิดช่องให้มิจฉาชีพและสแกมเมอร์ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น รวมถึงมาตรการด้านความปลอดภัย เช่น การแจ้งเตือนภัยไซเบอร์ (Safety Alert) ควรเป็นบริการพื้นฐานที่ทุกค่ายต้องมี ไม่ใช่บริการเสริมที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม



