Ribbon

สคบ. ตอบรับนโยบาย “ยืนยันตัวตนผู้ขาย” ของสภาผู้บริโภค คุ้มครองซื้อสินค้าออนไลน์

จากการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ที่มีปัญหาและมีช่องโหว่มาตลอด ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบทั้งปัญหาการถูกโกง การไม่ได้รับสินค้า และเลือกซื้อสินค้าไม่ตรงปก สะท้อนมาถึงในช่วงรอบปีที่ผ่านมาผู้บริโภคได้เข้ามาร้องเรียนเรื่องภัยออนไลน์เป็นลำดับต้นๆ จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้สภาผู้บริโภคผลักดันนโยบายการรับรองการยืนยันตัวตนของผู้ขายสินค้าและบริการทางออนไลน์ หรือ อี-เควายเอ็ม “e-KYM” (Know Your Merchant) ซึ่งเป็น “ระบบยืนยันตัวตนของผู้ขาย” เพื่อป้องกันปัญหาและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ ล่าสุดข้อเสนอเชิงนโยบายของสภาผู้บริโภคได้รับการตอบรับจาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมผลักดันต่อเนื่องแล้ว 

ทั้งนี้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้มีหนังสือถึงสภาองค์กรของผู้บริโภค เพื่อแสดงความขอบคุณต่อบทบาทของสภาผู้บริโภคในการจัดทำและผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย “การรับรองการแสดงตัวตนของผู้ขายสินค้าและบริการออนไลน์ (e-KYM)” โดยเป็นผลมาจาก นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ สคบ. พิจารณานโยบาย “ระบบยืนยันตัวตนของผู้ขาย” ของสภาผู้บริโภค จึงถือเป็นก้าวสำคัญต่อการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและความโปร่งใสในตลาดออนไลน์ไทย

สำหรับนโยบายการรับรองการยืนยันตัวตนของผู้ขายสินค้าและบริการทางออนไลน์ ของสภาผู้บริโภคประกอบด้วยแนวทางสำคัญทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ การกำหนดให้ผู้ค้าบนแพลตฟอร์มที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องแสดงทะเบียนการขายตรงหรือข้อมูลที่ตรวจสอบได้ การกำหนดให้ผู้ค้าทุกรายต้องแสดงข้อมูลยืนยันตัวตนและช่องทางการติดต่ออย่างชัดเจน และการพิจารณาทบทวนหรือยกเลิกกฎกระทรวง พ.ศ. 2561 ที่ทำให้การซื้อขายออนไลน์บางประเภทไม่ถือว่าเป็นตลาดแบบตรง

ทั้งนี้นโยบายสภาผู้บริโภคได้ผลักดันจึงเป็นหนึ่งมาตรการสำคัญช่วยแก้ไขปัญหาการซื้อสินค้าและบริการทางออนไลน์ที่ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ พร้อมช่วยคุ้มครองผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าผ่านออนไลน์และเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค

สำหรับรายละเอียดของนโยบาย “ระบบยืนยันตัวตนของผู้ขาย”  (e-KYM) ของสภาผู้บริโภค ได้กำหนดให้แพลตฟอร์มโซเชียลและตลาดออนไลน์ (e-Marketplace) ต้องยืนยันตัวตนผู้ขาย โดยร้านค้าต้องแสดงข้อมูลให้ชัดเจนทั้ง ที่อยู่ ตำแหน่งร้านค้า เบอร์โทรศัพท์ของผู้ขายสินค้าหรือบริการ และบัญชีธนาคารที่ใช้เป็นช่องทางรับเงินของผู้ขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ ทั้งหมดทำให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ว่าร้านค้ามีตัวตนจริงหรือไม่ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ทุกการสั่งซื้อออนไลน์ปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงร้านค้าและผู้ขายที่ปฏิบัติตามมาตรฐานดังกล่าวจะได้รับความเชื่อถือมากขึ้น ทางด้านแพลตฟอร์มออนไลน์ร่วมสร้างพื้นที่การซื้อขายที่ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม แนวทางขับเคลื่อนนโยบาย “ระบบยืนยันตัวตนของผู้ขาย” ของสภาผู้บริโภค จะมีทั้งอบรมเชิงปฏิบัติการร่วมกับองค์กรสมาชิกในการสำรวจข้อมูลร้านค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลคอมเมิร์ซ ดำเนินการในช่วงเดือน ต.ค. – ธ.ค. 2568 หลังจากนั้นจะจัดทำแคมเปญสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่อง “การรับรองการยืนยันตัวตนผู้ขายออนไลน์” ในช่วงเดือน ม.ค. – มี.ค. 2569 รวมถึงจะหารือแนวทางการรับรองการยืนยันตัวตนระดับสูง ร่วมกับแพลตฟอร์มและสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เอ็ตด้า  ในช่วงเดือน ก.พ. – พ.ค. 2569