Ribbon

‘รสนา’ ลั่นสู้สุดทาง ทวงคืนท่อก๊าซ หวังลดค่าไฟผู้บริโภค

รสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบายและประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ประกาศทวงคืนท่อก๊าซทั้งระบบคืนจากปตท. หลังต่อสู้มา 17 ปี และจะสู้ต่อไปเพื่อต่อต้านทุนผูกขาดในธุรกิจพลังงาน ต้นเหตุค่าก๊าซ ค่าไฟแพง ผ่องถ่ายทรัพย์สินจากรัฐวิสาหกิจให้บริษัทเอกชน ล้วงเงินในกระเป๋าผู้บริโภค

รสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบายและประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค กล่าวในเวทีเสวนา “ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อทุนผูกขาดมีอำนาจเหนือรัฐ” ครั้งที่ 1 วาระทุนผูกขาดพลังงาน จัดโดยสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ว่า จะเดินหน้าทวงคืนท่อก๊าซทั้งระบบจากบริษัทปตท. เพราะถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเมื่อปี 2550 ให้ปตท.คืนท่อส่งก๊าซทั้งระบบที่มีการแปรรูปเมื่อปี 2544 คืนให้กระทรวงการคลัง ซึ่งที่ผ่านมามีการคืนมาบางส่วน และกระทรวงการคลังให้บริษัทเช่าดำเนินการ โดยเก็บค่าเช่าปีละ 550 ล้านบาท ทั้งที่มูลค่าท่อก๊าซทั้งระบบอยู่ที่ 600,000 ล้านบาท และเป็นต้นทุนสำคัญที่ทำให้ค่าก๊าซ ค่าไฟแพง ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 รสนา ในนามสภาผู้บริโภค และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ทำหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน ให้เร่งดำเนินการเรียกร้องท่อส่งก๊าซธรรมชาติทั้งระบบคืนจากปตท. ภายใน 60 วัน มิฉะนั้นจะถือว่ามีความผิดตามมาตรา 157 และจะมีการฟ้องร้องต่อไป

“ปัจจุบัน ท่อก๊าซส่วนใหญ่ยังอยู่กับปตท. และบริษัทมีรายได้จากการลำเลียงน้ำมันและก๊าซ ซึ่งการเก็บค่าผ่านท่อถือเป็นต้นทุนสำคัญที่ผลักภาระไปสู่ค่าไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟแพงกว่าที่ควร โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นทุนพลังงานทั่วโลกผันผวน ขณะที่ประเทศไทยมีการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าเป็นสัดส่วนที่มาก อยากให้รัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีคลัง เอกนิติ ทำให้เรื่องนี้ให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง เพื่อให้ประชาชนมีความหวัง ดิฉันทวงมา 17 ปี และจะทวงต่อไปให้ถึงที่สุด” รสนา กล่าว

สำหรับต้นทุนค่าไฟฟ้าของไทยที่แพงกว่าประเทศอื่น รสนา กล่าวว่า เกิดจาก 3 ปัจจัย คือ 1. ราคาน้ำมัน ก๊าซ ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้า ใช้ราคาอ้างอิงจากสิงคโปร์ ทั้งที่ไทยผลิตได้ในประเทศ 2. ปริมาณสำรองไฟฟ้าของไทยสูงกว่าความจำเป็นถึง 40% โดยปัจจุบันรัฐเปิดให้เอกชนเข้ามาผลิตไฟฟ้าถึง 50,000 เมกะวัตต์ แต่ความต้องการใช้สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ แต่รัฐต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่าย (ไม่ผลิตก็ต้องจ่าย) ให้กับเอกชน 50,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งต้นทุนส่วนนี้ได้บวกเข้าไปกับค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่าย และ 3. รัฐตั้งราคารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจากเอกชนสูงถึง 2.70 บาท/หน่วย ทั้งที่ราคาในตลาดโลกลดลงปีละ 8% ต้นทุนนี้บวกไปกับค่าไฟฟ้าของประชาชนเช่นเดียวกัน

“วันนี้ แสงแดดเป็นของฟรี แต่รัฐไม่เปิดให้ประชาชนสามารถผลิตและใช้ไฟฟ้าได้ด้วยตัวเอง แต่กลับเปิดโครงการรัฐซื้อไฟฟ้าจากเอกชนในราคาแพง ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ผลิตไฟฟ้าได้ถูกกว่า แต่ให้เน้นรับซื้อจากเอกชนเป็นหลัก จนกลายเป็นการไฟฟ้าฝ่ายจัดซื้อไปแล้ว นี่คือการผูกขาดในธุรกิจพลังงานที่เกิดขึ้นจากรัฐร่วมมือกับเอกชน และประชาชนถูกล้วงกระเป๋าไปให้กลุ่มทุน” รสนา กล่าว

ค้านเปิดโรงไฟฟ้าเพิ่ม

นายกัญจน์ ทัตติยกุล จากกลุ่ม “ฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์” เปิดเผยว่า ในช่วงไม่ถึง 15 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าได้เปลี่ยนมือจากรัฐไปสู่เอกชนโดยสิ้นเชิง ปัจจุบันโรงไฟฟ้าของเอกชนครองสัดส่วนการผลิตกว่า 70% ขณะที่รัฐเหลือเพียง 33% เท่านั้น นอกจากนี้ ประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้าถึง 50,000 เมกะวัตต์ แต่ยอดใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) อยู่เพียง 34,000 เมกะวัตต์ เท่านั้น

ทั้งนี้ หากคิดสำรองตามมาตรฐานทั่วไปอยู่ที่ 15% ประเทศไทยควรมีโรงไฟฟ้าประมาณ 40,000 เมกะวัตต์ แต่วันนี้กลับมี “ไฟฟ้าสำรองล้นระบบ” ซึ่งผู้บริโภคต้องเป็นผู้จ่ายผ่านค่าไฟแพงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหนึ่งในต้นทุนสำคัญคือ “ค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment)” ที่รัฐต้องจ่ายให้โรงไฟฟ้าแม้ไม่ได้เดินเครื่อง คิดเป็น 11% ของค่าไฟ หรือราว 40 สตางค์ต่อหน่วย
นายกัญจน์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันประเทศไทย มีโรงไฟฟ้าก๊าซรวม 11 โรง กำลังการผลิต 17,000 เมกะวัตต์ แต่มีการขายไฟประมาณ 5,000 เมกะวัตต์ เท่ากับมีกำลังผลิตเหลือ 12,000 เมกะวัตต์ ที่ไม่ได้ผลิตไฟจริง และยังมีโรงไฟฟ้า 4 แห่งที่ไม่เดินเครื่องเลยแม้แต่วันเดียว แต่รัฐยังเดินหน้าเปิดประมูลสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LNG) ซึ่งทางกลุ่มฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์ได้ยื่นหนังสือคัดค้านกับกระทรวงพลังงานตั้งแต่ต้นปี 2568 และรัฐ โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ให้ใบอนุญาตเอกชน เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม

“ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อีกแล้ว ด้วยจำนวนที่มีมาก แต่ควรกระจายอำนาจการผลิตพลังงานให้ครัวเรือน จะสามารถเพิ่มเสถียรภาพให้การผลิตไฟฟ้าในประเทศได้ การขับเคลื่อนด้านพลังงานมีความยาก โซลาร์รูฟประชาชนติดตั้งได้ แต่ถูกปิดกั้นไม่ให้จ่ายไฟเข้าระบบสายส่ง ถ้าสามารถบาลานซ์ระหว่างการผลิตไฟฟ้าของรัฐ เอกชน ประชาชน ทำให้เสถียรภาพดีขึ้น” นายกัญจน์ กล่าว

ทั้งนี้ มีข้อเสนอการปฏิรูปพลังงานต้องตอบโจทย์ 3 เรื่องพร้อมกัน คือ การเพิ่มพลังงานหมุนเวียน การกระจายอำนาจให้ครัวเรือนผลิตไฟฟ้าได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน