
ภัยจากแก๊งคอลเซนเตอร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ไม่ว่าคุณจะอยู่ในเมืองหรือชนบท ใช้สมาร์ทโฟนมานาน หรือเพิ่งเริ่มเรียนรู้เทคโนโลยี ทุกคนล้วนตกอยู่ในความเสี่ยง และความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทรัพย์สิน แต่ขยายไปถึงความมั่นใจในดำเนินชีวิต ความเชื่อใจในระบบ และความปลอดภัยทางดิจิทัลของผู้คนจำนวนมาก
เบื้องหลังการทลายเครือข่ายมิจฉาชีพข้ามชาติ
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับปรากฏการณ์มิจฉาชีพออนไลน์ที่ยกระดับกลโกงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่พัฒนาเป็นเครือข่ายข้ามชาติ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยและออสเตรเลียได้ร่วมกันจับกุมกลุ่มชาวจีนที่ตั้งฐานในไทย หลอกเหยื่อชาวต่างชาติสูญเงินรวมกว่า 40 ล้านบาท พร้อมของกลางมูลค่าร่วมเกือบล้านบาท นี่เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะเหยื่อจำนวนมากในไทยเอง ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรือแม้แต่มีโอกาสทวงคืนความเสียหายของตัวเอง
หลายครั้งที่สังคมมักตั้งคำถามว่าทำไมยังมีคนโดนหลอกอยู่เรื่อย ๆ แต่แท้จริงแล้ว ผู้บริโภคจำนวนมากไม่ได้ ตกเป็นเหยื่อเพราะประมาท หากเพราะระบบที่ควรปกป้องยังทำงานไม่เต็มที่ กระบวนการแจ้งเหตุยังล่าช้า การประสานงานระหว่างตำรวจ ธนาคาร และโอเปอเรเตอร์ยังไม่ลื่นไหล และผู้เสียหายจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการเยียวยาอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้พิการ และประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
ตัวเลขที่บอกว่าวิกฤตภัยออนไลน์ไม่ใช่เรื่องเล็ก
หากย้อนดูข้อมูลในประเทศ ตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงเดือนมิถุนายน 2568 พบว่ามูลค่าความเสียหายจากภัยออนไลน์ในไทย พุ่งเกินกว่า 12,700 ล้านบาท กับคดีออนไลน์มากถึงกว่า 1.5 แสนคดี จากรายงานบนเว็บไซต์ของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ตำรวจไซเบอร์) ส่วนเรื่องร้องเรียนของสภาผู้บริโภคจากการเก็บข้อมูลในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่าผู้บริโภคร้องเรียนปัญหาเกี่ยวกับภัยออนไลน์เข้ามาเกือบ 500 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 80 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ใช้กลโกงสารพัดเพื่อหลอกเหยื่อให้โอนเงิน
ทั้งนี้ จากข้อมูลทั้งสองแหล่ง พบว่ากลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุ คนที่ขาดความรู้ด้านเทคโนโลยี หรือผู้ที่มีภาวะอ่อนไหวทางจิตใจ มิจฉาชีพมักใช้วิธีโทรศัพท์สอบถามชื่อคนใกล้ตัวเพื่อชวนคุยแล้วล้วงข้อมูล หรือส่ง SMS ปลอมอ้างเป็นหน่วยงานรัฐ พร้อมแนบลิงก์ให้ดาวน์โหลดแอปฯ ปลอมที่สามารถดูดข้อมูลและเข้าถึงบัญชีธนาคารได้ภายในไม่กี่นาที
ที่น่าเศร้าคือเบื้องหลังของผู้เสียหายจำนวนมากมีเรื่องราวชีวิตที่สะเทือนใจ บางคนสูญเงินเก็บทั้งชีวิต บางคนถูกหลอกในช่วงที่มีปัญหาสุขภาพจิตหรือสูญเสียคนรัก ไม่เพียงเสียทรัพย์สิน แต่ยังสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง และบางรายถึงขั้นคิดสั้น ตัวเลขที่น่าตกใจนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเงิน แต่คือวิกฤตความมั่นคงของประชาชนในโลกออนไลน์ที่เปราะบางขึ้นทุกวัน
ไม่ใช่แค่ป้องกัน แต่ต้องมีระบบช่วยเหลือที่ทันก่อนจะสาย
ที่ผ่านมาภาครัฐและภาคเอกชนมีความพยายามในการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน แต่กลลวงของมิจฉาชีพก็ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว การป้องกันจึงไม่อาจฝากไว้กับแค่คำเตือน เช่น อย่ากดลิงก์ หรือ อย่าเชื่อเบอร์แปลก แต่สิ่งที่จำเป็นกว่า คือระบบที่สามารถลุกขึ้นมาปกป้องก่อนที่ผู้บริโภคจะกลายเป็นเหยื่อ
สภาผู้บริโภค ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหลายประการในช่วงที่ผ่านมา เช่น การตั้งหน่วยงานกลางที่สามารถอายัดบัญชีได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ตำรวจรับแจ้งความก่อน การบังคับให้ธนาคารมีระบบสกัดธุรกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์ และการบังคับให้ผู้ให้บริการมือถือคัดกรองเบอร์ปลอมอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเสนอให้นำตัวอย่างจากต่างประเทศมาปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการหน่วงเงินก่อนโอน จำนวน 10,000 บาทขึ้นไป เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อให้สถาบันการเงินและผู้บริโภคได้มีเวลาตรวจสอบว่าเป็นธุรกรรมทางการเงินที่สุจริต หรือการกำหนดความรับผิดชอบร่วมของธนาคาร ค่ายมือถือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่ผู้บริโภคเกิดความเสียหายจากการถูกหลอกลวง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ป้องกันภัยออนไลน์ เทียบมาตรการ ยุโรป-อเมริกา-สิงคโปร์-ไทย
- เปิดฉากสู้โจรไซเบอร์ ดัน “มาตรการหน่วงเงิน” ชะลอการโอน 72 ชม.
- ดันมาตรการ “หน่วงเงิน” (Slow Payment) ลดเสี่ยงตกหลุมมิจฉาชีพ
- สภาผู้บริโภค – ศาล ติวเข้มสู้ภัยไซเบอร์
- รวมพลังเป็นหนึ่ง สู้ภัยออนไลน์
- เร่ง หยุดภัยการเงิน ปรับปรุง กม.- งานยุติธรรม
พ.ร.ก.ไซเบอร์ฯ ฉบับใหม่ อาจเปลี่ยนเกม ถ้าถูกนำไปใช้จริง
หลังเสียงเรียกร้องจากสังคมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ผลักดันให้ภาครัฐลงมือออกพระราชกำหนดว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่ 13 เมษายน 2568 ที่เปิดช่องให้ผู้เสียหายสามารถขอคืนเงินได้ในชั้นเจ้าหน้าที่ โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ในชั้นศาล และยังกำหนดให้ธนาคาร สถาบันการเงิน ค่ายมือถือ และแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องร่วมรับผิดชอบหากไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดไว้
ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้วางแนวทางให้ธนาคารพาณิชย์มีส่วนร่วมในการตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัย และอาจต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหาย หากระบบป้องกันของธนาคารไม่สามารถสกัดกลโกงได้ทันเวลาตามที่ พ.ร.ก.ไซเบอร์ฯ กำหนด ขณะที่ล่าสุดคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพิ่งออกมาตรการให้ผู้ให้บริการมือถือมีหน้าที่คัดกรองเบอร์ต้องสงสัย หากละเลย ต้องร่วมรับผิดเช่นกัน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- 7 เรื่องสำคัญ “กฎหมายไซเบอร์ฉบับใหม่” ที่ต้องรู้
- จากผู้เสียหายสู่ข้อเสนอเชิงระบบ ทวงความยุติธรรมจากภัยออนไลน์
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเดินหน้าชุดมาตรการเชิงรุกเพื่อจัดการกับเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์อย่างเข้มข้น โดยประกาศใช้ 5 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1. คุมเข้มเข้า – ออกจุดผ่านแดนห้ามรถยนต์หรือบุคคลใดผ่าน 2. ตัดอินเทอร์เน็ตและประตูอินเทอร์เน็ตใต้น้ำ 3. ระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้า 4. ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน และ 5. เป็นศูนย์กลางปฏิบัติร่วมภูมิภาค ปราบเครือข่ายอาชญากรรม เพื่อป้องกันเครือข่ายอาชญากรรมระดับโลกตั้งฐานหลอกลวงคนไทยอยู่ใกล้แค่ข้ามพรมแดน
กฎหมายมีแล้ว แต่ระบบทำงานทันหรือยัง
คำถามที่ต้องตั้งให้ชัดคือ กฎหมายที่ออกมาเหล่านี้ เริ่มทำงานเชิงรุกอย่างจริงจังหรือยัง มีช่องทางให้ผู้บริโภคสามารถแจ้งเหตุและได้รับการช่วยเหลือให้ทันก่อนเงินหายได้มากแค่ไหน และเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้น หน่วยงานเกี่ยวข้องจะมีมาตรการเยียวยาอย่างเป็นธรรม หรือยังคงโยนความผิดกลับมาที่ผู้เสียหายเหมือนที่ผ่านมา
ความยุติธรรมทางดิจิทัลในวันนี้ ต้องไม่ใช่แค่ให้คำเตือนที่ดี แต่ต้องมีระบบป้องกันและมาตรการเยียวยาผู้เสียหายอย่างเป็นธรรมมารองรับ เพราะในโลกที่มิจฉาชีพเคลื่อนไหวรวดเร็ว หากโครงสร้างรัฐยังเคลื่อนตัวช้าไม่เท่าทันมิจฉาชีพ ผู้บริโภคก็ยังคงล้มอยู่ที่จุดเดิม ไม่ว่า พ.ร.ก.ฉบับไหนจะออกมาอีกกี่ฉบับก็ตาม