
ผู้ประกันตนที่ถูกหักเงินทุกเดือนส่ง ประกันสังคม และยังจ่ายภาษีเหมือนคนทั่วไป แต่กลับต้องควักเงินซ้ำซ้อน ขณะที่ผู้ใช้สิทธิบัตรทองและสิทธิข้าราชการกลับไม่ต้องจ่ายเพิ่ม สภาผู้บริโภคเสนอ ให้รัฐจ่าย 0.88% ค่ารักษาแทนผู้ประกันตน เพื่อความเท่าเทียม “ถ้วนหน้า” อย่างแท้จริง
“ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินซ้ำซ้อนถึง 3 เด้ง แต่กลับได้สิทธิบริการสุขภาพไม่เท่าเทียมสิทธิอื่น ส่วนหนึ่งคือการหักเงินทุกเดือน อีกส่วนคือจ่ายผ่านภาษี และส่วนสุดท้ายคือการจ่ายเพิ่มจากค่ารักษาที่ไม่ครอบคลุม” สมชาย กระจ่างแสง อนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาผู้บริโภค เผยถึงความเหลื่อมล้ำที่ผู้ประกันตนได้รับจากสิทธิประกันสังคม
เขาระบุว่า ผู้ประกันตนคือกลุ่มเดียวที่ยังต้องควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองในกรณีที่การประกันไม่ครอบคลุม เช่น การฟอกไต มีกำหนดเพดานค่ารักษาประมาณ 4,500 บาทต่อสัปดาห์ ซึ่งบางกรณีไม่เพียงพอทำให้ผู้ป่วยต้องร่วมจ่ายเอง แตกต่างจากสิทธิบัตรทอง ที่ไม่มีการจำกัดวงเงินและจำนวนครั้ง
เนื่องจาก ผู้ใช้สิทธิบัตรทองหรือข้าราชการที่รัฐดูแลค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดผ่านงบประมาณภาษีทั้งหมด ความเหลื่อมล้ำนี้จึงกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้คณะอนุกรรมการด้านบริการสุขภาพเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายคือ “ระบบสุขภาพมาตรฐานเดียว” เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพเท่าเทียมกับกลุ่มอื่น
ประกันสังคม ด้อยกว่า บัตรทองด้านไหนบ้าง
สิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลจากประกันสังคมด้อยกว่าบัตรทองในหลายรายการ ทั้งที่สิทธิบัตรทองได้ถูกริเริ่มพัฒนามาภายหลัง แต่ครอบคลุมโรคและนวัตกรรมได้กว้างขวางกว่า
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคไต บัตรทอง ครอบคลุมการบำบัดทดแทนไตทุกวิธี รวมถึงการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การล้างไตทางช่องท้อง และการปลูกถ่ายไต โดยไม่มีการจำกัดวงเงินและจำนวนครั้ง ส่วน ประกันสังคม คุ้มครองการบำบัดทดแทนไตทุกวิธีเช่นกัน แต่มีการ กำหนดวงเงิน สำหรับบางรายการ เช่น ค่าล้างไตทางช่องท้อง ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน และค่าผ่าตัดวางท่อล้างไต ไม่เกิน 20,000 บาท/2 ปี
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง บัตรทอง สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ที่มีระบบบัตรทองรองรับ ภายใต้โครงการ “มะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere)” โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และครอบคลุมการรักษาตามมาตรฐาน ประกันสังคม สามารถเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งได้ทุกโรงพยาบาลที่ทำความตกลงกับประกันสังคม ภายใต้โครงการ “SSO cancer anywhere”
สิทธิประโยชน์ด้านทันตกรรม บัตรทอง ครอบคลุมการรักษาทันตกรรมที่จำเป็น เช่น การถอนฟัน, อุดฟัน, ขูดหินปูน, ผ่าฟันคุด, และการใส่ฟันปลอมฐานพลาสติก โดยไม่มีการจำกัดวงเงินและจำนวนครั้ง ประกันสังคม สามารถเบิกค่ารักษาทันตกรรม เช่น การถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าฟันคุดได้ในวงเงิน 900 บาทต่อปี ส่วนค่าทำฟันปลอมก็สามารถเบิกได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด

การรักษาทันตกรรม ไม่ควรกำหนดเพดานการรักษา
สมชาย ยังให้ความเห็นต่อว่า ผู้ประกันตน มี 7 สิทธิประโยชน์ของประกันสังคมที่ผู้ประกันตน มีสิทธิได้รับ ได้แก่ เจ็บป่วย, คลอดบุตร, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต, สงเคราะห์บุตร, ชราภาพ และ ว่างงาน แต่สิทธิทันตกรรมเป็นสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มเติม ไม่ใช่เรื่องการรักษาพยาบาลพื้นฐานตามกฎหมาย เนื่องจาก สำนักงานประกันสังคมมองว่าสิทธิทันตกรรม ไม่ใช่เรื่องของการรักษาพยาบาล แต่เป็น เรื่องสวยงาม ไม่ใช่เรื่องสุขภาพที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
“สิทธิประโยชน์ทันตกรรมถือเป็นสิทธิที่ไม่ใกล้เคียงความเป็นจริง การกำหนดเพดานค่ารักษาเพียง 900 บาทต่อปีไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายจริง เราต้องเลิกพูดเรื่องเพดานของสิทธิทันตกรรม เพราะไม่ควรจำกัดวงเงิน แต่ควรพิจารณาจาก ความจำเป็นต่อการรักษา”
นอกจากนี้ การปรับเพิ่มวงเงินของสิทธิทันตกรรมที่ผ่านมานั้น ไม่เกิดประโยชน์จริง เดิมทีวงเงินอยู่ที่ 600 บาท พอสำหรับขูดหินปูนอย่างเดียว เมื่อมีการผลักดันให้เพิ่มวงเงินเป็น 900 บาท คลินิกเอกชนก็ปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 900 บาท ทำให้ผู้ประกันตนยังคงทำได้แค่ขูดหินปูนและไม่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากการเพิ่มวงเงิน เพราะวงเงินที่จำกัด ทำให้ผู้ประกันตนจึงยังคงต้องจ่ายเงินเพิ่มเอง
อีกประการหนึ่ง ควรมีการควบคุมราคาและกำหนดราคาตลาดกลาง สำหรับบริการทันตกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้คลินิกเอกชนฉวยโอกาสขึ้นราคาและให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง และต้องเปลี่ยนแนวคิด ที่มองว่าทันตกรรมเป็นเรื่อง ความสวยงาม ไปเป็น เรื่องสุขภาพ ที่เป็นสวัสดิการพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม สิทธิทันตกรรมควรครอบคลุมการรักษาตามความจำเป็น เช่น หากจำเป็นต้องถอนฟัน 4 ซี่ ก็ควรได้รับการถอน และหากจำเป็นต้องใส่ฟันปลอมเพื่อการกินที่ดี ก็ควรได้รับการใส่ ไม่ใช่การจำกัดวงเงินสำหรับฟันปลอมบางส่วนที่ 1,300 บาท
ระบบสุขภาพมาตรฐานเดียว
เพื่อให้ลดความเหลื่อมล้ำในระบบประกันสังคมด้านสุขภาพและบำนาญ คณะอนุกรรมการฯ ได้มีข้อเสนอการปฏิรูปหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดพัฒนาระบบสุขภาพในประเทศให้เป็น “ระบบสุขภาพมาตรฐานเดียว” เพื่อยกระดับสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนให้เท่าเทียมกับสิทธิบัตรทอง
ปัจจุบันผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลของตัวเอง 0.88% ของเงินสมทบ 5% ที่ถูกหักทุกเดือน ซึ่งเป็นการจ่ายซ้ำซ้อนจากภาษีที่จ่ายอยู่แล้ว โดยคณะอนุกรรมการฯ มีข้อเสนอคือ ให้ รัฐเข้ามารับผิดชอบจ่ายเงิน 0.88% นี้แทน ผู้ประกันตนทุกเดือน โดยเทียบเคียงกับการที่รัฐจ่ายให้ระบบบัตรทองและสวัสดิการข้าราชการ
หากรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ผู้ประกันตนยังคงจ่ายเงินสมทบในอัตรา 5% เท่าเดิม แต่ เงิน 1% ที่เคยถูกหักเป็นค่าบริการด้นสุขภาพ จะถูกย้ายไปสมทบในกองทุนบำนาญชราภาพแทน จะทำให้เงินสมทบส่วนบำนาญเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 4% และส่งผลให้ผู้ประกันตนได้รับเงินบำนาญเพิ่มขึ้นในวัยชรา
ในขณะเดียวกัน ระบบประกันสุขภาพควรพร้อมยกระดับและขยายสิทธิประโยชน์ให้เท่าเทียมกับบัตรทองในทุกโรค นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 เดือนจึงจะใช้สิทธิด้านสุขภาพได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผล ผู้ประกันตนควรได้รับสิทธิด้านสุขภาพทันที เหมือนกับบัตรทองที่ใช้สิทธิได้ทันที จึงสมควรให้ยกเลิกระยะเวลารอคอยนี้
สมชาย เน้นย้ำว่า การปฏิรูปสิทธิประกันสังคมเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน โดยเฉพาะการยุติความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพและยกระดับบำนาญชราภาพให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้ประกันตนทุกคนได้รับสิทธิประโยชน์ที่เท่าเทียมและเป็นธรรม
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง