
สภาผู้บริโภค จับมือ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผลักดันงานเชิงรุก เร่งหาทางปลดล็อกปัญหาการจดแจ้งองค์กรสมาชิก เสริมศักยภาพองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศขยายช่องทางดูแลผู้บริโภค พร้อมหาทางหนุนงบดูแลผู้บริโภค
วันที่ 17 กันยายน 2568 สภาผู้บริโภค นำโดย สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค พร้อมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สภาผู้บริโภค ได้ร่วมหารือกับ พิฆเนศ ต๊ะปวง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่นายทะเบียนกลาง เป็นผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) และ วีราภรณ์ ชินวงศ์ ผู้อำนวยการส่วนกิจการองค์กรของผู้บริโภค สำนักกฎหมายและระเบียบกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะอีก 6 ท่าน เพื่อหารือเรื่องการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกัน และ ผลักดันงานเชิงรุก
สารี อ๋องสมหวัง รายงานว่า ผลการดำเนินงานของสภาผู้บริโภคในช่วง 9 เดือน ระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – มิถุนายน 2568 สามารถรับเรื่องร้องทุกข์ได้จำนวน 15,092 เรื่อง และสามารถแก้ไขปัญหาให้ผู้ร้องเรียนจนยุติได้ถึง 64% ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความพึงพอใจต่อการบริการของสภาผู้บริโภค 92% ตลอดจนได้ผลักดันให้ชะลอการขึ้นค่าไฟฟ้า การผลักดันระบบขนส่งมวลชน 20 บาทตลอดสาย มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคจากภัยออนไลน์ ฟ้องคดีให้ผู้บริโภคมากกว่า 100 คดีจากภัยการเงินและซัมซุงจอขึ้นเส้น 11 รุ่น รวมทั้งทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลการคุ้มครองผู้บริโภคที่เผยแพร่ได้ 49 ล้านครั้ง เป็นต้น

ทิศทางการดำเนินงานในปี 2569 สภาผู้บริโภคมุ่งนโยบายขับเคลื่อนการคุ้มครองผู้บริโภคใน 58 จังหวัดที่มีสมาชิก ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยประจำจังหวัด จำนวน 20 จังหวัด พร้อมมีแผนพัฒนา 38 จังหวัดให้เกิดกลไกช่วยเหลือและรักษาประโยชน์ผู้บริโภค เตรียมผลักดันนโยบายหลัก 4 ประเด็นให้สำเร็จ คือ การดำเนินการให้แพลตฟอร์มดิจิทัลลงทะเบียนคนขายสินค้าออนไลน์ 100% (Know Your Merchant, KYM) ผลักดันให้มีการจัดบริการขนส่งสาธารณะโดยท้องถิ่นใน 20 จังหวัด ห้องเช่า อพาร์ตเม็นท์ของนักศึกษาจ่ายค่าน้ำค่าไฟฟ้าเท่ากับบุคคลอื่น ๆ (แบบสัญญาหอพักที่เป็นธรรม) สายไฟฟ้าสายสื่อสารรกรุงรังต้องปลอดภัย เป็นต้น
พงศ์ธร จันทรัศมี หัวหน้าฝ่ายสนับสนุนสมาชิกและองค์กรของผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมการขับเคลื่อนในช่วงที่ผ่านมา มีหลายองค์กรสามารถยื่นจดแจ้งได้สำเร็จ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีพี่เลี้ยงหรือเครือข่ายสนับสนุนเข้มแข็ง และการขยายองค์กรของผู้บริโภคในพื้นที่ยังไม่มีหน่วยงานประจำจังหวัด โดยปัจจัยความสำเร็จมาจากความเข้าใจในหลักเกณฑ์ รวมถึงการจัดเวทีแลกเปลี่ยนทุกไตรมาส หมุนเวียนกันไปในแต่ละจังหวัด การมีเจ้าหน้าที่ช่วยติดตามเอกสาร และมีต้นแบบจากจังหวัดอื่นให้ศึกษา รวมถึงการจัดทำและนำเสนอผลงานแบบแฟ้มสะสมผลงาน (portfolio)

วิทูรย์ บุตรสาระ ผู้รับผิดชอบโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรผู้บริโภคเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้บริโภคด้านสุขภาพ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้ร่วมดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรผู้บริโภคและสนับสนุนการยื่นจดแจ้งเป็นองค์กรผู้บริโภคตามกฎหมายในพื้นที่ 22 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลาง เหนือ และใต้ โดยใน 13 จังหวัดยังไม่มีองค์กรผู้บริโภคที่ได้รับรองตามกฎหมาย ทั้งนี้โครงการได้สนับสนุนการยื่นจดแจ้งสำเร็จไปแล้วจำนวน 18 องค์กรใน 9 จังหวัด อยู่ระหว่างรอการพิจารณาผลจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและมีแผนที่จะสนับสนุนการยื่นจดแจ้งอีก 12 องค์กร ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้แล้วโครงการได้พัฒนาความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช เขต 8 ที่ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัดในภาคอีสานตอนบน เพื่อสนับสนุนให้เกิดความเข้มแข็งขององค์กรภาคประชาสังคมและสนับสนุนให้องค์กรผู้บริโภคได้รับรองตามกฎหมาย
ด้าน พิฆเนศ ต๊ะปวง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายทะเบียนกลาง เป็นผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) กล่าวว่า การประชุมหารือแนวทางขับเคลื่อนการรับแจ้งสถานะความเป็นองค์กรของผู้บริโภคร่วมกับสภาผู้บริโภค พบว่าในปัจจุบันมีองค์กรผู้บริโภคขึ้นทะเบียนแล้ว 376 องค์กร ครอบคลุม 58 จังหวัด และมีอีก 32 องค์กรอยู่ระหว่างการพิจารณา แต่พบว่า 19 จังหวัดยังไม่มีการยื่นจดทะเบียนองค์กรผู้บริโภค


นอกจากนี้ ได้หารือผลการประเมินกฎหมายจัดตั้งสภาผู้บริโภคที่จะครบรอบ 5 ปี โดย สปน. ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้าประเมินผลสัมฤทธิ์พระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 เพื่อส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการรวมตัวกันจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภคที่มีความเป็นอิสระ มีพลังและมีประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 46 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา
โดยจากการประเมินผลสัมฤทธิ์พบว่า สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานได้ดีในระดับหนึ่ง ทั้งด้านการรับเรื่องร้องเรียน การเสนอข้อเสนอเชิงนโยบาย การติดตามตรวจสอบและการดำเนินคดีแทนผู้บริโภค แต่มีข้อจำกัดที่ควรได้รับการปรับปรุงในประเด็นสำคัญทั้ง การเพิ่มอำนาจการฟ้องคดีแบบกลุ่ม (Class Action) การกำหนดสถานะไม่เป็นหน่วยงานของรัฐ การโอนอำนาจการรับแจ้งสถานะให้เป็นหน้าที่ของนายทะเบียนกลาง แนวทางเสริมการกำกับดูแลงบประมาณโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ภายใต้กรอบขององค์กร ตลอดจนจัดตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะด้านแทนการเพิ่มจำนวนกรรมการ และส่งเสริมกลไกบูรณาการร่วมกับหน่วยงานรัฐผ่านการลงนามความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ขณะเดียวกัน สปน. ได้เสนอแนวทางการผลักดันงบประมาณของสภาผู้บริโภค โดยสภาผู้บริโภคได้สิทธิในการเข้าร่วมชี้แจงงบประมาณด้วยตนเองในชั้นพิจารณาของสำนักงบประมาณ เพื่อสร้างความเข้าใจและผลักดันงบประมาณที่เพียงพอ