
“ฝุ่น PM2.5” กลายเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของหน้าหนาวไทยที่กลับมาปกคลุมเมืองทุกปีอย่างไม่มีวี่แววลดลง ปัญหานี้เองที่ทำให้เสียงเรียกร้องเรื่อง “อากาศสะอาด” ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่การผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่มีวี่แววว่าจะถูกแช่แข็งและต้องเริ่มกระบวนการใหม่ หากไม่สามารถประกาศใช้ได้ทันในรัฐบาลชุดนี้ ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องจับตาและร่วมกันผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นจริงเสียที
ช่วงสิ้นปีแบบนี้ หลายคนคงนึกถึงอากาศหนาว เทศกาล วันหยุดยาว หรือแม้กระทั่งกลิ่นที่เป็นสัญลักษณฺของฤดูหนาวอย่างต้นตีนเป็ด แต่อีกสิ่งหนึ่งที่แทยจะกลายเป็นสัญลักษณ์ชองหน้าหนาวในประเทศไทย คือ ฝุ่น PM2.5 ที่มาเยือนอย่างสม่ำเสมอทั่วประเทศ
นี่คือปัญหาสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขที่เรื้อรังมานาน และเป็นสาเหตุที่ทำให้กระแสเรื่อง “อากาศสะอาด” ถูกจุดประเด็นขึ้น ทั้งยังมีการผลักดันกันอยู่เป็นระยะ
สภาผู้บริโภคชวนดูเส้นทางของ “ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด” กฎหมายสคัญที่อาจเป็นความหวังใหม่ของคนไทย ที่จะกลับมา “หายใจได้อย่างเต็มปอด” อีกครั้งหนึ่ง

จุดเริ่มต้นของการเรียกร้อง “สิทธิในการหายใจ”
แม้ปัญหามลพิษทางอากาศจะเป็นประเด็นเรื้อรังมานานหลายสิบปี แต่ประเทศไทยก็ยังไม่มี “กฎหมายเฉพาะ” ที่รับมือคุณภาพอากาศแบบจริงจัง ประชาชน ภาคธุรกิจ และเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมจึงเริ่มผลักดันให้เกิด กฎหมายอากาศสะอาด ที่คุ้มครองสิทธิในการหายใจของทุกคนอย่างแท้จริง มาตั้งแต่ปี 2563 และเมื่อเดือนมกราคม 2565 เครือข่ายอากาศสะอาด (CAN) ได้ยื่น “ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฉบับประชาชน” พร้อมรายชื่อผู้สนับสนุนกว่า 22,251 รายชื่อ เป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้เข้าสู่สภาในฐานะกฎหมายของประชาชนอย่างแท้จริง
จาก 7 ร่างสู่ 1 ฉบับ: การรวมพลังเพื่อแก้ปัญหา PM2.5 อย่างเป็นระบบ
ต่อมา ในพฤศจิกายน 2566 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฉบับรัฐบาล พร้อมรับทราบ ร่างกฎหมาย 7 ฉบับจากพรรคการเมืองและภาคประชาชน ก่อนจะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาพร้อมกัน สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมว่า “ประเทศไทยต้องมีระบบบริหารจัดการคุณภาพอากาศที่จริงจังเสียที”
วันที่ 17 มกราคม 2567 สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบในหลักการ (วาระ 1) และตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 39 คน เพื่อรวมร่างให้เป็นฉบับเดียวเพื่อเดินหน้าต่อให้เร็วที่สุด และระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม – 8 สิงหาคม 2568 รัฐสภายังเปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อร่างกฎหมาย เพื่อให้เสียงของสังคมมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจนจบ
พ.ร.บ.อากาศสะอาด … ถูกแช่แข็ง?
หลังจากการพิจารณาอย่างยาวนาน ร่างกฎหมายที่ผ่านกรรมาธิการแล้วได้รับความเห็นชอบในวาระที่ 2 และ 3 เมื่อเดือน กันยายน และตุลาคม 2568 และถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป
หลังจากนั้นเพียง 6 วั วุฒิสภาก็รับหลักการและตั้งกรรมาธิการเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาวาระ 2-3 ต่อไป อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดระบุว่า กรรมาธิการวุฒิสภาเสียงส่วนใหญ่มีมติให้ ขยายเวลาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดไปอีก 30 วัน จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2569
ความล่าช้านี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าร่างกฎหมายอาจจะ “ไม่ทันก่อนสภายุบ” ซึ่งจะทำให้ต้องเริ่มรวบรวมรายชื่อเข้าสู่กระบวนการยื่นกฎหมายใหม่ทั้งหมด และอาจต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 1 – 2 ปี กว่ากฎหมายจะได้ประกาศใช้
ทำไม พ.ร.บ.อากาศสะอาด ถึงสำคัญ?
พ.ร.บ.อากาศสะอาด มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นกฎหมายที่จะยกระดับ “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ของประชาชนให้เป็นรูปธรรม สิทธิในการหายใจอากาศที่ปลอดภัย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มลพิษทางอากาศได้ทำให้คนไทยป่วยเรื้อรังจำนวนมาก เพิ่มภาระด้านค่ารักษาพยาบาลอย่างมหาศาล และกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือแรงงานที่ต้องทำงานกลางแจ้ง ปัญหานี้สะท้อนว่าเรายังขาดระบบจัดการมลพิษที่แข็งแรงพอจะปกป้องสุขภาพของประชาชนได้จริง
ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมี “โครงสร้างบริหารจัดการคุณภาพอากาศ” ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในแง่การกำหนดมาตรฐาน การตรวจสอบ การบังคับใช้กฎหมาย และกลไกที่ทำให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปล่อยให้ปัญหาดำเนินต่อไปจนคนส่วนใหญ่ต้องแบกรับผลกระทบเอง
ท้ายที่สุด การแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างยั่งยืนต้องเริ่มจากกฎหมายที่ชัดเจน เป็นระบบ และสามารถใช้เป็นกรอบกำกับหน่วยงานต่าง ๆ ให้ทำงานร่วมกันอย่างมีทิศทางเดียวกัน พ.ร.บ.อากาศสะอาดจึงไม่ใช่แค่กฎหมาย แต่เป็นรากฐานของระบบการจัดการคุณภาพอากาศใหม่ที่จะปกป้องชีวิตของประชาชน และกำหนดอนาคตด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศในระยะยาว
พ.ร.บ.อากาศสะอาด กำลังเดินทางถึงโค้งสุดท้ายก่อนประกาศใช้จริง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ “พลังของประชาชน” ที่จะช่วยผลักดันให้เสียงนี้ “ดังพอ” ที่จะทำให้ผู้มีอำนาจเห็นว่าปัญหานี้ไม่อาจรอได้อีกต่อไป สภาผู้บริโภคจึงอยากเชิญชวนผู้บริโภคทุกคนมาร่วมขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการติดตามความคืบหน้า แสดงความเห็น แชร์ข้อมูลให้สังคมรับรู้ หรือร่วมแสดงจุดยืนกับเครือข่ายต่าง ๆ เพราะทุกเสียงมีความหมาย และอาจเป็นแรงสำคัญที่ทำให้กฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ได้ทันภายในรัฐบาลชุดนี้
อากาศที่เราหายใจเป็นของทุกคน และอนาคตที่ปลอดฝุ่นก็ต้องเริ่มต้นจากการที่ทุกคนลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเองเช่นกัน

