
สภาผู้บริโภคเดินหน้ายื่นคำแถลงต่อศาลปกครอง ขอยืดเวลาแสวงหาข้อเท็จจริง การลงมติของคณะกรรมการ กสทช. ที่รับทราบการควบรวมค่ายมือถือ ชี้สังคมกังวลคุณสมบัติประธาน กสทช. ค่าบริการแพง มาตรการเยียวยาไม่คืบหน้า
สภาผู้บริโภคได้ยื่นคำแถลงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในคดีเพิกถอนมติ กสทช. กรณีการควบรวมกิจการของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เนื่องจากในวันที่ 8 กันยายน 2568 ศาลปกครองได้ประกาศปิดการเสนอข้อเท็จจริง กรณีสภาผู้บริโภคฟ้องมติ กสทช. “รับทราบ” ในการควบรวมกิจการระหว่าง ทรู-ดีแทค สภาผู้บริโภคจึงยื่นคำร้องต่อศาลขอยืดเวลาการเสนอข้อเท็จจริงด้วยเหตุที่มีผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เผชิญปัญหาเรื่องราคาสูงบริการไม่ดีที่เกิดหลังการควบรวม
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคได้ยื่นฟ้องการลงมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต่อศาลปกครอง ไปเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2565 ภายหลัง กสทช. มีมติเพียง “รับทราบ” การรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ทรู และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค สำหรับการเสนอให้ศาลปกครองขยายเวลาการสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงออกไปในครั้งนี้ เนื่องจากสภาผู้บริโภคได้รับฟังเสียงสะท้อนจากผู้ใช้บริการกลับตรงกันว่า หลังควบรวมกิจการ ค่าบริการแพงขึ้นในขณะที่คุณภาพบริการไม่ได้ดีขึ้นตามที่ กสทช. คาดการณ์ไว้ แต่เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปว่าการควบรวมสร้างผลกระทบชัดเจนต่อประชาชน ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความสภาผู้บริโภค ระบุว่า ได้ยื่นข้อเท็จจริงสำคัญ 4 ประเด็น คือ
1. ปัญหาคุณสมบัติประธาน กสทช. รายงานของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาชี้ว่า ประธาน กสทช. อาจขาดคุณสมบัติในช่วงที่มีมติรับทราบการควบรวม อาจส่งผลให้การชี้ขาดในครั้งนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
2. ผลกระทบค่าบริการหลังควบรวม รายงานจาก 101 PUB POLICY INSIGHTS พบว่า การควบรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC ส่งผลเสียต่อโครงสร้างตลาดโทรคมนาคมไทย โดยเฉพาะการแข่งขัน เพราะผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการต่อเลขหมายเพิ่มขึ้น หลังการควบรวม กรณี TRUE และ DTAC เพิ่มขึ้น 4.9% AIS เพิ่มขึ้น 7% ส่วนของค่าอินเทอร์เน็ตบ้าน ค่าบริการต่อผู้ใช้เพิ่มมากขึ้น AIS และ 3BB เพิ่มขึ้น 4.1% TRUE เพิ่มขึ้น 9.4%
ทั้งนี้แตกต่างจากข้อมูลของ กสทช. ที่ได้พิจารณาถึงค่าบริการต่อเลขหมายเท่าเดิมและราคาเฉลี่ยนั้นลดลง โดยราคาโทรศัพท์ ลดลง 15% ราคาอินเทอร์เน็ตมือถือลดลง 20% ค่าบริการต่อผู้ใช้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีข้อสังเกตว่าการติดตามราคาของ กสทช. ไม่สามารถสะท้อนปัญหาจริงได้ อาจเกิดจากการที่ กสทช. ไม่ได้รวมโปรลับที่ไม่ได้วางขาย ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่รับทราบ และการคำนวณค่าเฉลี่ยตามแพ็กเกจไม่ว่าจะมีผู้ใช้งานมากน้อยเพียงใด
ขณะเดียวกันจากเกือบสองปีหลังจากการรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC ผู้บริโภคที่ใช้บริการมือถือทั้งสองค่ายมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.9% เมื่อพิจารณาค่าบริการต่อเลขหมายก่อน – หลังควบรวม ผ่านรายได้เฉลี่ยของบริษัทต่อผู้ใช้บริการ ตลอดจนหลังควบรวมค่าบริการเพิ่มมากขึ้น
3. เสียงสะท้อนจากผู้ใช้จริง การขึ้นราคาของ “ซิมเทพ” ซึ่งเคยเป็นซิมเหมาจ่ายรายปีราคาประหยัด กลับพุ่งขึ้นเกือบเท่าตัว เช่น ซิมเทพธอร์ของทรู จาก 1,790 บาท ในปี 2566 กลายเป็น 3,999 บาทในปีนี้ ขณะที่ซิมเทพอินฟินิตี้ของดีแทคก็ขึ้นราคาจาก 1,190 บาท เป็น 1,790 บาท
4. มาตรการเยียวยายังไม่คืบหน้า แม้ทรูและดีแทคจะยื่นเรื่องขอทบทวนมาตรการเยียวยาผู้บริโภคต่อ กสทช. ตั้งแต่ปลายปี 2567 แต่จนถึงวันนี้ กสทช. ยังไม่สรุปผลหรือเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและโปร่งใส จึงควรขยายระยะเวลาการพิจารณาออกไป
ดร.วศิน กล่าวทิ้งท้ายว่า คดีนี้ไม่ใช่แค่การถกเถียงทางกฎหมาย แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวของประชาชนทุกคน เพราะตั้งแต่การควบรวมค่ายมือถือทรูและดีแทค หรือแม้แต่การควบรวมอินเทอร์เน็ตบ้าน AIS และ 3BB รวมกัน ผู้ใช้มือถือจำนวนมากต้องจ่ายแพงขึ้น แต่คุณภาพบริการกลับไม่ดีขึ้นตามไปด้วย
ขณะเดียวกันอยากให้ศาลปกครองพิจารณาเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคที่แทบไม่มีทางเลือกในตลาดโทรคมนาคมอีกต่อไป พร้อมอยากศาลปกครองกลางพิจารณาขยายระยะเวลาการสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงออกไป เนื่องจากได้ข้อมูลว่าศาลปกครองได้แจ้งว่าจะสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงในวันที่ 8 กันยายน 2568 ทำให้ได้ยื่นหนังสือต่อศาลปกครอง เมื่อวันที่ 5 กันยายน ที่ผ่านมา
“คดีนี้เป็นคดีมหากาพย์ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาธุรกิจโทรคมนาคมของประเทศไทย ที่ขาดสภาพการแข่งขันเนื่องจากเกิดการควบรวมธุรกิจของสองค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ ซึ่งผ่านระยะเวลามาเกือบสามแล้ว ทุกคนต่างได้รับผลกระทบในฐานะผู้บริโภคจากค่าบริการสูงขึ้นสวนทางกับคุณภาพของการให้บริการ จึงขอฝากศาลปกครองกลางได้โปรดพิจารณาพิพากษาในทางที่เป็นคุณกับประชาชนในฐานะผู้บริโภคที่ปราศจากทางเลือกในการเข้าถึงการรับบริการโทรคมนาคม” ดร.วศิน กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง