Getting your Trinity Audio player ready... |

“รถไฟฟ้าแดง–ม่วง 20 บาทตลอดสาย” เป็นกรณีศึกษาสำคัญด้านนโยบายขนส่งสาธารณะของไทย เพราะไม่เพียงช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ยังแสดงให้เห็นว่า รัฐสามารถดำเนินนโยบายค่าโดยสารที่ “เป็นธรรม” โดยไม่สร้างภาระการคลัง และยังสอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลอันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
หลังรัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ให้ดำเนินโครงการ 20 บาท ตลอดสายสำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดงและม่วง จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นการต่อลมหายใจ เพิ่มโอกาสให้กับคนชานเมืองได้เข้ามาทำงานในเมืองกรุง โดยไม่เพิ่มภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งผลสำเร็จของโครงการ ทั้งในระยะ 1 และ 2 สะท้อนให้เห็นว่าโครงการ 20 บาทตลอดสายสำหรับสายสีแดงและสีม่วงเดินมาถูกทางและยั่งยืนได้ โดยไม่เป็นภาระด้านงบประมาณ
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่เดินหน้าโครงการ “รถไฟฟ้าแดง-ม่วง 20 บาท ตลอดสาย” ซึ่งถือเป็นนโยบายด้านขนส่งมวลชนที่สะท้อนถึงการวางแนวทางที่ถูกต้อง ช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนได้จริง โดยไม่เป็นภาระงบประมาณของรัฐ และยังเป็นโมเดลที่สามารถทำให้การดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มีความยั่งยืนมากขึ้น
“การกำหนดอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายของรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับระบบรางในไทย สามารถเชื่อมต่อการเดินทางจากชานเมืองเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ ได้สะดวก และไม่ก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเกินจำเป็นต่อประชาชน โดยโครงการนี้ยังมีส่วนช่วยบรรเทาภาวะขาดทุนของรฟท. ด้วยการเพิ่มจำนวนผู้โดยสารและสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง” สารี กล่าว
โมเดลความสำเร็จแดง – ม่วง 20 บาทตลอดสาย
ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม ที่นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ได้รายงานผลการดำเนินงานของโครงการ 20 บาท สำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วง ในระยะแรกสิ้นสุด 30 กันยายน 2567 โดยสายสีแดงมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 29,279 คน-เที่ยวต่อวัน เพิ่มขึ้นกว่า 50% จากก่อนมาตรการอยู่ที่ 19,335 คน-เที่ยวต่อวัน ทั้งปีมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 10.6 ล้านคน-เที่ยวต่อวัน มีรายได้รวม 210.5 ล้านบาท โดยรัฐจ่ายชดเชยค่าโดยสารที่หายไป (จากค่าเฉลี่ย30บาท) จำนวน 28.9 ล้านบาท
ส่วนสายสีม่วง ผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 66,067 คน-เที่ยวต่อวัน เพิ่มขึ้น 17.54% จากช่วงก่อนมีมาตรการอยู่ที่ 56,208 คน-เที่ยวต่อวัน ขณะที่รายได้ลดลงหายไปประมาณ 250 ล้านบาท แต่ได้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมกว่า 937 ล้านบาท เช่น ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถของประชาชนประมาณ 40 ล้านบาท ประหยัดเวลาในการเดินทางที่ประเมินมูลค่าเป็นเงินได้ประมาณ 25 ล้านบาท เป็นต้น ถือว่ามีมูลค่ามากกว่ารายได้ค่าโดยสารที่หายไป
ขณะที่การขยายมาตรการออกไปถึง 30 พฤศจิกายน 2568 สายสีม่วงคาดว่าจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 68,617 คน-เที่ยวต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 3.86% ขณะที่รายได้ค่าโดยสารจะเพิ่มเฉลี่ย 1 ล้านบาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 3.89% ซึ่งหากเป็นไปตามคาดการณ์จะทำให้การชดเชยรายได้ลดลง แต่ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.310 ล้านบาท
สำหรับมติครม.ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ต่ออายุรถไฟฟ้าสายสีแดง – ม่วง 20 บาท ตลอดสาย จนถึง 30 พฤศจิกายน 2568 คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมประเมินผลการดำเนินมาตรการโดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปริมาณผู้โดยสารและรายได้ ซึ่งจะส่งผลต่อภาระการชดเชยจากภาครัฐ และคำนึงถึงความสะดวกสบายในการเดินทางและการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน เป็นต้น เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการดำเนินมาตรการดังกล่าวต่อไป
“การเดินหน้าคงค่าโดยสาร 20 บาท ตลอดสาย เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการขนส่งมวลชนราคาที่เป็นธรรมสามารถเกิดขึ้นได้จริง และยังช่วยให้หน่วยงานผู้ให้บริการสามารถอยู่รอดได้โดยไม่เป็นภาระแก่รัฐ” สารีกล่าว พร้อมย้ำว่าสภาผู้บริโภคพร้อมสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินการ “ตั๋วบุฟเฟต์รถไฟฟ้า-รถเมล์ 30 บาทโดยสารทั้งวัน” และขยายโครงการขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน เพื่อสร้างหลักประกันด้านการเดินทางที่เท่าเทียมและยั่งยืนให้กับประชาชนทุกกลุ่มทั่วประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
20 หรือ 40 บาทก็ได้ ขอรัฐบาลใหม่เดินหน้า รถไฟฟ้า ที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน
ข่าวดี รถไฟฟ้าสายสีแดง-ม่วง มติ ครม. ต่ออายุ 20 บาทตลอดสายออกไปอีก