ชงรัฐของบกลาง อุดหนุนกทม. ลดราคา รถไฟฟ้าสายสีเขียว

Getting your Trinity Audio player ready...
ชงรัฐของบกลาง อุดหนุนกทม. ลดราคา รถไฟฟ้าสายสีเขียว

ภายใต้สถานการณ์ค่าครองชีพที่พุ่งสูงต่อเนื่อง “ค่าเดินทาง” กลายเป็นหนึ่งในภาระหลักของคนเมือง โดยเฉพาะค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชน สภาผู้บริโภคเสนอแนวทางให้ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร (กทม.) เร่งเจรจากับรัฐบาลขอใช้ “งบกลาง” เข้ามาอุดหนุน เพื่อช่วยลดค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่มีผู้ใช้บริการกว่า 800,000 เที่ยว – คนต่อวัน

หนี้เก่าหนัก – งบจำกัด กทม.เสี่ยง

การที่รัฐบาลต่ออายุมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สำหรับสายสีแดงและสีม่วงออกไปอีก 2 เดือน สิ้นสุด 30 พฤศจิกายน 2568 ช่วยต่อลมหายใจให้กับคนชานเมืองที่ใช้รถไฟฟ้าเข้ามาทำงานในกรุงเทพ แต่สำหรับสายสีเขียว ซึ่งถือเป็นเส้นทางหลักที่มีผู้ใช้บริการกว่า 800,000 เที่ยว-คนต่อวัน รัฐบาลยังไม่มีมาตรการใด ขณะเดียวกัน กทม. เผชิญภาวะหนี้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือ บีทีเอสซี กว่า 3.2 หมื่นล้านบาท กดดันอย่างหนัก

หลังศาลปกครองมีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ให้กทม. และกรุงเทพธนาคม ชำระหนี้ 11,811 ล้านบาท ภายใน 180 วัน หากไม่ดำเนินการตามจะเสี่ยงต่อการถูกฟ้องบังคับคดีและเพิ่มภาระดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันกทม.มีภาระหนี้กับบีทีเอสซี รวมกว่า 32,000 ล้านบาท ครอบคลุมค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายทั้งสองฝั่ง ได้แก่ อ่อนนุช – สมุทรปราการ และหมอชิต – คูคต

แม้กทม.จะมีเงินสะสมราว 50,000 ล้านบาท แต่มีภาระงบผูกพันจำนวนมาก ทั้งโครงสร้างก่อสร้างและปรับปรุงด้านถนน โรงเรียน และสาธารณสุข การนำเงินสะสมมาชำระหนี้เต็มจำนวนจะกระทบการลงทุนและงบฉุกเฉินของเมืองโดยตรง

แนะของบกลาง – หารายได้เพิ่มหนุน รถไฟฟ้าสายสีเขียว

ชงรัฐของบกลาง อุดหนุนกทม. ลดราคา รถไฟฟ้าสายสีเขียว : อดิศักดิ์ สายประเสริฐ

อดิศักดิ์ สายประเสริฐ อนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า หนี้ของ รถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นมรดกบาปที่รัฐบาลต้องช่วยแก้ ไม่ใช่ปล่อยให้กทม.รับภาระเพียงลำพัง เพราะการลงนามในสัญญาส่วนต่อขยาย กทม.ดำเนินการตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 รัฐบาลจึงต้องร่วมรับผิดชอบ และอนุมัติงบกลางมาช่วยอุดหนุนการดำเนินงานของกทม. เพื่อให้บริการรถไฟฟ้าโดยไม่กระทบค่าครองชีพประชาชน

“ทางที่ดีที่สุด คือรีบจ่ายหนี้บางส่วนเพื่อลดดอกเบี้ย แล้วค่อยหาทางปรับโครงสร้างระยะยาว โดยกทม.ควรเร่งเจรจากับบีทีเอสเพื่อผ่อนชำระและขอลดดอกเบี้ยจากการจ่ายล่าช้า และให้ผู้ว่ากทม.เร่งเจรจากับรัฐบาลเพื่อให้เข้ามาช่วยอุดหนุนงบบางส่วน เพื่อแก้ปัญหาให้กทม. จะทำให้ต้นทุนรวมถูกลงและเปิดทางให้สามารถลดค่าโดยสารได้” อดิศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคยืนยันหลักการสำคัญที่ว่า “ค่าเดินทางของคนเมืองไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ค่าแรงขั้นต่ำ” เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะเป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้จริง ไม่ใช่ภาระของประชาชน ในกรณีสายสีเขียว ในระยะสั้นอยากให้รัฐบาลเข้ามาอุดหนุน เพื่อให้กทม.สามารถปรับลดค่าโดยสารได้ตามนโยบายลดค่าครองชีพของรัฐบาล แต่ในระยะกลาง ระยะยาวกทม.ต้องหารายได้เพิ่มเพื่อมาสนับสนุนการให้บริการรถไฟฟ้า เช่น การเก็บภาษีรถยนต์ ซึ่งกทม.มีรายได้ในส่วนนี้ 16,000 ล้านบาทต่อปี หรือการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด” หรือ congestion fee เพื่อจูงใจให้คนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น

“แต่ต้องทำคู่กับการสร้างบัสเลนและระบบรองรับที่ดี เพื่อให้ประชาชนเห็นทางเลือกที่สะดวกกว่าใช้รถส่วนตัว” อดิศักดิ์ย้ำ

สำหรับแนวทางการบริหารจัดการรถไฟฟ้าสายสีเขียว อดิศักดิ์ ได้เสนอ 4 ทางเลือกสำคัญ หลังหมดสัญญาสัมปทานกับบีทีเอสซี ในปี 2572 ได้แก่ 1. กทม.รับโอนคืนมาบริหารเอง 2. เปิดประมูลให้เอกชนรายใหม่เดินรถ3. โอนคืนให้กระทรวงคมนาคมดูแลต่อ และ 4. ต่อสัญญาสัมปทานกับบีทีเอส ภายใต้ต้นทุนที่ถูกลง

“กทม.ไม่พร้อมรับมาบริหารเองในตอนนี้ ทางเลือกที่เหมาะสม คือโอนไปให้กระทรวงคมนาคม หรือหากต่อสัญญาก็ต้องมีเงื่อนไขลดต้นทุน เพื่อทำให้ค่าโดยสารถูกลง เพื่อไม่ให้เป็นภาระประชาชน” อดิศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ กทม.ควรเร่งดำเนินการกำหนดทิศทางให้ชัดเจน ว่าจะเลือกแนวทางใดในการบริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลังหมดสัมปทาน พร้อมทั้งสื่อสารให้ประชาชนรับทราบแผนและขั้นตอนอย่างโปร่งใส หากมีแนวโน้มจะโอนเส้นทางให้กระทรวงคมนาคม ก็ควรเปิดเผยกรอบเวลา ขั้นตอนการโอน และผลกระทบต่อผู้โดยสารอย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะนำไปสู่ค่าโดยสารที่เป็นธรรมและระบบขนส่งสาธารณะที่ยั่งยืนในระยะยาว


เปิดงานวิจัย รถไฟฟ้าสายสีเขียว 20 บาท คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

สภาผู้บริโภคย้ำจุดยืน เดินหน้า ขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน

ด่วน! ศาลปกครองกลางสั่ง กทม.จ่ายชดใช้รถไฟฟ้าสีเขียว 1.1 หมื่นล้านภายใน 180 วัน