| Getting your Trinity Audio player ready... |

สภาผู้บริโภคและนักวิชาการร่วมทดสอบไฟรั่ว – ไฟลงดิน ชี้ชัดระบบไฟฟ้าไทยมีปัญหา ทั้งไฟรั่ว – ไฟดูด ค่าไฟพุ่ง เสนอกรรมาธิการแก้ปัญหาด่วน
ถ้าใครเคยเห็นข่าวผู้ใช้ไฟโดนเก็บ ค่าไฟพุ่ง ผิดปกติ สูงถึง 20,000 – 30,000 บาท คนโดนไฟช็อตจนเสียชีวิต หรือแม้กระทั่งข่าวช้างล้มเพราะโดนไฟดูด รู้ไหมว่าเหตุการณ์เหล่านี้อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือความซวย แต่อาจมีสาเหตุมาจากการกำหนดมาตรฐานการต่อระบบไฟฟ้าที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล สภาผู้บริโภคจึงร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือทดสอบระบบการต่อลงดิน ผ่านการจำลองสถานการณ์ไฟฟ้ารั่ว ทั้งบริเวณพื้นดินและภายในบ้าน พบไทยมีปัญหาไฟฟ้ารั่ว เตรียมเสนอคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาเร่งด่วนยกระดับมาตรฐานไฟฟ้า




ไฟฟ้าไทยไม่ได้มาตรฐานสากล
ชาญวิทย์ ครูแก้ว อดีตวิศวกรการไฟฟ้านครหลวง และผู้เชี่ยวชาญระบบไฟฟ้า ระบุว่า ประเทศไทยยังยึดมาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ที่กำหนดแนวทางปฏิบัติชัดเจนในการออกแบบ ติดตั้ง และตรวจสอบระบบไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัย เช่น มาตรฐานไออีซี (IEC: International Electrotechnical Commission) ที่ใช้ในยุโรปและหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงมาตรฐานเอ็นอีซี (NEC: National Electrical Code) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่ง

หลายประเทศที่ใช้ระบบติดตั้งไฟฟ้าแบบผสมทีเอ็นซี-เอส (TNC-S) เหมือนประเทศไทย การไฟฟ้าจะเป็นผู้ส่งมอบสายไฟ ครบระบบ ทั้งสายไลน์ สายนิวทรัล และสายดิน พร้อมแยกสายนิวทรัลและสายดินออกจากกันตั้งแต่ต้นทาง ทำให้ประชาชนไม่ต้องต่อสายดินเอง ลดความเสี่ยงไฟรั่วและไฟดูดได้อย่างมาก
คำอธิบายระบบไฟฟ้าเบื้องต้น
– สายไลน์ (Line): สายที่มีกระแสไฟฟ้า
– สายนิวทรัล (Neutral): สายศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์ในภาวะปกติ ทำหน้าที่เป็นเส้นทางกลับของกระแสไฟ
– สายดินหรือสายพีอี (PE – Protective Earth): สำหรับระบายกระแสไฟรั่วลงดิน
แม้เป็นเรื่องที่ดู “เล็กน้อย” แต่ ชาญวิทย์ย้ำว่าสามารถนำไปสู่อันตรายถึงชีวิต
ตัวอย่างชัดเจน คือกรณี ปีย์ นักร้องนำวงโปเตโต้ ที่เสียชีวิตจากไฟดูดในห้องน้ำหลังการไฟฟ้าเปลี่ยนมิเตอร์ ซึ่งข้อมูลจากการตรวจสอบภายในบ้านพบว่ามีไฟรั่วตามตู้ไฟทั่วบ้าน รวมถึงกรณีช้างโดนไฟดูด และกรณีอื่น ๆ ที่ยังปรากฏเป็นข่าวอยู่เรื่อย ๆ โดยทั้งหมดสะท้อนปัญหามาตรฐานไฟฟ้าที่ไม่เคยถูกแก้ไขอย่างจริงจัง
ดูเฟซบุ๊กไลฟ์การทดสอบได้ที่ : ทดสอบระบบต่อสายไฟลงดิน (Earthing System)
ค่าไฟพุ่ง ไม่รู้ตัว
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ คือผลกระทบต่อ “ค่าไฟ” ที่ผู้ใช้ต้องรับภาระเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ใช้งานจริง หากเกิดกรณีสลับสาย หรือสายนิวทรัลหลวม กระแสไฟจะไหลลงดินก่อนย้อนกลับไปยังแหล่งจ่าย ส่งผลให้เกิดการสูญเสียพลังงานสูง บางบ้านต้องจ่ายค่าไฟเพิ่ม 20,000–30,000 บาท ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของผู้ใช้ไฟแม้แต่น้อย
ที่น่ากังวลคืออุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว – ไฟดูด เช่น อุปกรณ์เบรกเกอร์ตัดไฟรั่ว หรืออาร์ซีซีบี (RCCB : Residual Current Circuit Breaker) หรือระบบสายดิน อาจไม่ทำงานเมื่อกระแสไฟผิดปกติ ถูกหักล้างกันจากความผิดพลาดของระบบ ซึ่งเจ้าของบ้านไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า
1 ปีที่ยังไม่คืบหน้า : เรียกร้องหน่วยงานรัฐยอมรับปัญหา
ชาญวิทย์ ระบุว่า ได้ผลักดันเรื่องนี้มากว่า 10 ปี แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ พร้อมเรียกร้องให้ 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) ร่วมกันทบทวนมาตรฐานและเปิดเวทีหารือทางวิชาการ เนื่องจากที่ผ่านมา วสท. ยังไม่ได้เข้าร่วมประชุมตามที่เคยตกลงไว้
นอกจากนี้ ขอเรียกร้องให้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และกระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยกำกับดูแลการไฟฟ้า เข้ามาตรวจสอบและรับผิดชอบ เพราะการปล่อยให้ระบบไฟฟ้าบกพร่องโดยไม่แก้ไข ถือเป็นการ “ทำร้ายประชาชน”
ดันวาระเร่งด่วนสู่ กมธ. คุ้มครองผู้บริโภค

โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคของ สภาผู้บริโภค ระบุว่า ข้อมูลจากการทดสอบครั้งนี้จะถูกสรุปและส่งต่อให้คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ เนื่องจากได้เชิญการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มาเข้าร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสังเกตการณ์การทดสอบ แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด จึงต้องอาศัยกลไก กมธ. เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนที่สุด
ทั้งนี้ จากการสาธิตพบว่า ผู้บริโภคยังเผชิญ “ความเสี่ยงแฝง” จากการต่อสายดินไม่ครบ การต่อสายไฟสลับกันระหว่างสายไลน์ – นิวทรัล และกรณีอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว – ไฟดูดไม่ทำงาน ซึ่งล้วนเป็นปัญหาที่พบในกรณีร้องเรียนที่ส่งต่อให้สภาผู้บริโภคก่อนหน้านี้
“ถ้ามาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยได้ ก็จำเป็นต้องส่งข้อเสนอให้ผู้กำหนดมาตรฐานทบทวนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในสังคมไทย” โสภณกล่าว
สภาผู้บริโภค เตรียมเสนอเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนเพื่อผลักดันการแก้ไขมาตรฐานไฟฟ้า รวมถึงการพิจารณามาตรฐานที่ใช้อยู่ เช่น มอก. และมาตรฐาน วสท. เพื่อผลักดันการแก้ไขมาตรฐานระบบไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรม ลดความเสี่ยงไฟดูด ไฟไหม้ และค่าไฟฟ้าที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นภาระที่ประชาชนไม่ควรต้องเผชิญ
แนะวิธีตรวจไฟรั่วด้วยตัวเอง

ในด้านการปฏิบัติ ผศ.ดร.วีระพันธ์ รังสีวิจิตรประภา จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ แนะนำขั้นตอนการตรวจสอบไฟรั่วในบ้านด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ ดังนี้
- ปิดเบรกเกอร์ย่อยทั้งหมด แล้วดูว่ามิเตอร์ยังหมุนหรือไม่ หากยังหมุนแสดงว่ามีไฟรั่ว
- ถอดปลั๊กอุปกรณ์ทีละชิ้น เช่น เครื่องทำน้ำอุ่น เตาไฟฟ้า ปั๊มน้ำ ตู้เย็น แอร์ เพื่อหาต้นตอ
- ใช้ไขควงวัดไฟ แตะตัวถังอุปกรณ์ หากไฟติด แปลว่ามีกระแสไฟรั่ว
สำหรับผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่ที่น้ำท่วม หลังน้ำรถควรปฏิบัติดังนี้ สำหรับเต้ารับที่จมน้ำ ควรปิดเบรกเกอร์ ถอดหน้ากาก และตรวจคราบสนิมหรือความชื้น หากพบให้ใช้สเปรย์ล้างหน้าสัมผัสก่อนใช้งาน ส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ถูกน้ำท่วม ห้ามเสียบปลั๊กทันที ต้องล้าง ทำความสะอาดและตรวจสอบก่อนใช้งาน โดยอาจสามารถนำไปให้ช่างหรือวิทยาลัยอาชีวศึกษาช่วยตรวจซ่อมได้ ไม่จำเป็นต้องทิ้งหากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง
ร้อง “ระบบต่อลงดิน” กฟน. ไม่ได้มาตรฐานสากล เสี่ยงไฟดูด – ค่าไฟพุ่ง
ป้าช็อก! เจอเรียกเก็บค่าไฟเกือบ 2 หมื่นบาท งงปกติจ่ายแค่หลักร้อย



