Getting your Trinity Audio player ready... |

สภาผู้บริโภคค้านโครงการ สายส่งไฟฟ้า สปป.ลาว 2.6 หมื่นล้าน ระบุไม่โปร่งใส ส่งผลกระทบต่อค่าไฟที่ประชาชนต้องจ่าย พร้อมชงรัฐชะลอโครงการ เร่งจัดทำแผน PDP ให้แล้วเสร็จ
จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดน่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ภายในวงเงิน 26,220 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ นั้น ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้ไฟ

พชร แกล้วกล้า ผู้ช่วยคณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค แสดงความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่า การลงทุนโครงการสายส่งไฟฟ้าที่สปป.ลาว ส่งผลทำให้อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งจากเขื่อนหลวงพระบางและปากแบงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอีก 0.51 สตางค์/หน่วย เป็น 3.35 และ 3.22 บาทต่อหน่วย จากเดิมที่ราคารับซื้อไฟฟ้าอยู่ที่ 2.84 และ 2.71 บาทต่อหน่วยตามลำดับ ซึ่งราคารับซื้อดังกล่าวสูงกว่าราคาที่เคยรับซื้อในอดีตมาก และเมื่อรวมกันกับต้นทุนสายส่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม ก็ยิ่งทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก ทั้งที่ประชาชนไม่เคยมีส่วนร่วมในการวางแผนรับซื้อไฟของภาครัฐเลย แต่ต้องมารับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กล่าวอ้างว่า การรับซื้อไฟฟ้าจากสปป.ลาวและการทำสายส่งเป็นการปฏิบัติตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าปี 2561 (PDP2018 Rev1) แต่จากการศึกษาของสภาผู้บริโภค พบว่าการรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนปากแบงและหลวงพระบาง อาจจะไม่เป็นไปตามแผน PDP2018 เสียทั้งหมด เนื่องจากยังไม่พบหลักฐานว่ามีแผนจะรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนหลวงพระบาง ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างของภาครัฐจึงไม่ตรงตามข้อเท็จจริง
“รัฐบาลควรชะลอการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแผน PDP ฉบับเดิม และเร่งรัดจัดทำแผน PDP ใหม่ (PDP 2025 หรือ PDP 2026) ให้แล้วเสร็จ โดยต้องเปิดให้ประชาชนและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีส่วนในการจัดทำแผน แล้วจึงเดินหน้าทำตามแผน PDP ฉบับใหม่ต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากแผน PDP เป็นแผนแม่บทในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หากแผนแม่บทไม่นิ่งแล้ว การรับซื้อไฟฟ้าย่อมเป็นไปอย่าง ‘สะเปะสะปะ’ ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ไฟฟ้า และ ‘จะกลายเป็นภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าในอนาคต’”
ผู้ช่วยคณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีเสียงสะท้อนจากคนในพื้นที่ว่าในบริเวณดังกล่าวมีการวางแนวสายส่งจำนวนมาก เช่น สายส่งจากโรงไฟฟ้าหงสา โรงไฟฟ้าแม่เมาะ เขื่อนสิริกิตติ์ เป็นต้น และยังมีข้อพิพาทเรื่องการเวนคืนพื้นที่เพื่อวางแนวสายส่ง ดังนั้น การอนุมัติการสร้างสายส่งดังกล่าวจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมคนในพื้นที่ดังกล่าวหรือไม่ และมีการประเมินศักยภาพในพื้นที่อื่น ๆ ที่ระบุว่าจะมีการก่อสร้างอย่างถี่ถ้วนแล้วหรือไม่
ปัจจุบันข้อมูลตัวเลขกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองของไทยมีจำนวนมากเกินพอ คือประมาณ 39.40% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ขณะที่กำลังไฟฟ้าสำรองโดยสากลแนะนำว่าไม่ควรเกิน 15% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าเฉพาะในประเทศเพียงพออยู่แล้ว โดยไม่ต้องนำเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศ นำไปสู่คำถามที่ว่า เหตุใดประเทศไทยจึงต้องนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศลาวและต้องสร้างสายส่งเพิ่ม
พชร ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นการรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนว่า ประชาคมโลกยอมรับโดยทั่วไปว่าเขื่อนขนาดใหญ่ไม่ใช่พลังงานสะอาด เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในขั้นตอนการก่อสร้างอย่างมาก ในขั้นตอนการก่อสร้าง มีการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ การโยกย้ายชนพื้นเมือง รวมถึงส่งผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงผู้อาศัยโดยรอบด้วย เพราะเหตุนี้จึงทำให้ให้ไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนขนาดใหญ่เป็นพลังงานสะอาด ดังนั้นการที่รัฐจะสร้างสายส่งเพื่อรองรับการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนขนาดใหญ่ จึงไม่ถือเป็นพลังงานสะอาดตามที่รัฐกล่าวอ้าง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ครม. ไฟเขียวงบ 2.6 หมื่นล้าน พัฒนาระบบรับซื้อพลังงานสะอาดจากสปป.ลาว
สภาผู้บริโภค จ่อฟ้องกกพ. ปม รับซื้อไฟแพง ประชาชนแบกค่าไฟอ่วม