Getting your Trinity Audio player ready... |

สภาผู้บริโภค ขีดเส้นก.ย.นี้ ยื่นฟ้องคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต่อศาลปกครอง ยกเลิกมติทำสัญญาทาสซื้อไฟแพง ขัดกฎหมาย สร้างต้นทุนเกินจริง ผลักภาระให้ประชาชนแบกค่าไฟแพง
วันที่ 21 สิงหาคม 2568 สภาผู้บริโภค จัดงานแถลงข่าว “ฟ้อง กพช. – กกพ. ยกเลิก ‘ค่า PE’ เลิกผลักภาระให้ประชาชน” เพื่อชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นในการฟ้องคดีเพื่อให้รัฐเพิกถอนประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า การกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าหรือแอดเดอร์ จากไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายจากนโยบายของภาครัฐ (Policy Expense หรือ PE) ที่นำไปรวมอยู่ในบิลค่าไฟของประชาชนที่ต้องจ่ายทุกเดือนในรูปแบบของค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที)

รสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบายสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ที่มาของการฟ้องคดีในครั้งนี้เกิดจากช่วงปลายปี 2567 สภาผู้บริโภคได้ส่งความเห็นเรื่องแนวทางการลดค่าไฟฟ้าถึงกกพ. โดยหนึ่งในเนื้อหาหลัก คือการเจรจาปรับลดสัญญาค่าแอดเดอร์ ที่รวมอยู่ใน ‘ค่าใช้จ่ายภาครัฐ’ หรือค่า PE ซึ่งถูกนำมาคำนวณอยู่ในบิลค่าไฟฟ้าของประชาชน
ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กกพ. ได้มีความ เห็นถึงคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เสนอให้มีการยกเลิกค่าแอดเดอร์ ซึ่งจะทำให้ประชาชนจ่ายค่าไฟลดลง 17 สตางค์ แต่กพช. ไม่ได้ตอบรับความเห็นของกกพ. โดยอ้างว่าทำ สัญญาซื้อไฟ กับบริษัทเอกชนเรียบร้อยแล้ว และไม่มีแนวโน้มว่าจะยกเลิกการต่อสัญญาแต่อย่างใด
คณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ในฐานะตัวแทนของผู้บริโภคจึงมีมติให้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้รัฐเพิกถอน “ประกาศ กกพ. เรื่อง กรอบหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า ปี 2564” และ “ประกาศ กกพ. เรื่องกระบวนการ ขั้นตอนการใช้สูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ปี 2565 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับมาตรการจูงใจด้านราคาผ่านระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP โดยกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า หรือแอดเดอร์ (Adder) จากราคารับซื้อไฟฟ้า” โดยกำหนดจะฟ้องร้องต่อศาลปกครองภายในต้นเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
รสนาอธิบายเพิ่มเติมว่าค่าแอดเดอร์ ที่มาจากเป็นนโยบายของรัฐที่จะสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งอาจจะเหมาะสมกับสถานการณ์ในอดีต แต่ปัจจุบันราคาต้นทุนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนถูกลง ค่าแอดเดอร์จึงเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นที่ควรถูกตัดทิ้ง และที่ผ่านมาการทำสัญญาซื้อไฟกับภาคเอกชนมีการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติทุก 5 ปี ต่อเนื่องถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลาถึง 18 ปี ที่ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงเกินจริงมาโดยตลอด
“ปัจจุบันประชาชนต้องจ่ายค่าไฟปีละประมาณ 900,000 ล้านบาท แต่กระบวนการรับซื้อไฟฟ้าในราคาแพงก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ค่าแอดเดอร์เป็นเหมือน ‘ไขมันส่วนเกิน’ ของค่าไฟฟ้าซึ่งไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเป็นค่าใช้จ่ายที่รัฐใช้ ‘อุ้มเอกชน’ เท่านั้น จึงควรตัดจ่ายใช้จ่ายนี้ออก ทั้งนี้ การยกเลิกค่าแอดเดอร์จะช่วยให้ค่าไฟฟ้าลดลง 17 สตางค์ต่อหน่วย และทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่าปีละ 37,400 ล้านบาท”

ทางด้าน ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ อดีตกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่าการที่รัฐสนับสนุนค่าแอดเดอร์ ซึ่งมีต้นทุนการรับซื้อไฟฟ้าสูงกว่าราคาต้นทุนจริงในภาวะปัจจุบัน และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติ โดยนำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายภาครัฐ (Policy Expense) รวมอยู่ในบิลค่าไฟของประชาชนในอัตรา 17 สตางค์ต่อหน่วย ถือว่าขัดต่อ พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน ปี 2550 มาตรา 65 (1) และ (4) ซึ่งมีใจความว่า กำหนดอัตราค่าบริการของผู้รับใบอนุญาต แต่ละประเภท ควรสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงและคำนึงถึงผลตอบแทนที่เหมาะสมของการลงทุนของการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมแก่ทั้งผู้ใช้พลังงานและผู้รับใบอนุญาต
สำหรับการเก็บอัตราค่าไฟฟ้าในส่วน “ค่าใช้จ่ายภาครัฐ” (Policy Expense) ซึ่งมีอัตรา 17 สตางค์ต่อหน่วย จึงเป็นอัตราที่เป็นภาระกับประชาชนเกินสมควร โดยมีเหตุผล 3 ประการ ดังนี้
1) ค่าไฟฟ้าถูกคิดตามต้นทุนจริงในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้นการรับซื้อไฟฟ้าในแต่ละรอบย่อมมีราคาต่างกัน ปัญหาคือ สัญญารับซื้อไฟฟ้าที่กำหนดอายุ 5 ปี แต่กลับต่อสัญญาได้เรื่อย ๆ จนเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ทำให้ราคาซื้อไฟฟ้าไม่ปรับตามต้นทุนจริง แต่ประชาชนกลับต้องจ่ายค่าไฟในราคาดังกล่าว ซึ่งไม่เป็นธรรม และถือเป็นการผลักภาระเกินสมควรให้กับผู้ใช้ไฟ
2) สัญญาซื้อไฟ แบบแอดเดอร์ถูกอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรการส่งเสริมพลังงานสะอาด เช่น เมื่อปี 2552 เคยกำหนดให้รับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หน่วยละ 11 บาท แต่ในปี 2565 รัฐประกาศรับซื้อที่เพียงหน่วยละ 2.16 บาท โดยเปิดให้รับซื้อ 5,000 เมกะวัตต์ แต่มีเอกชนยื่นขายถึงกว่า 17,000 เมกะวัตต์ หรือมากกว่าถึง 3 เท่า แสดงให้เห็นว่า รัฐไม่จำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติม เพราะภาคเอกชนแย่งกันขายอยู่แล้ว ดังนั้น ค่า PE ที่ใช้เป็นเหตุผลรองรับจึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ และการยังคงผลักภาระนี้ให้ประชาชนจ่าย จึงขาดเหตุผลโดยสิ้นเชิง
3) ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของการรับซื้อไฟทั้งหมด แต่กลับนำค่า PE ไปบวกในค่าไฟของประชาชนทั่วไป และยังไม่มีการกำหนดว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด ทำให้ประชาชนต้องรับภาระเกินควร โดยที่ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งหรือปกป้องสิทธิของตนเองได้
ทั้งนี้ การยกเลิกหรือถอดค่าใช้จ่ายภาครัฐออกจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ไม่ได้สร้างความเสียหายหรือสร้างผลกระทบต่อการประกอบกิจการของเอกชนแต่อย่างใด เพราะการคิดอัตราค่าไฟฟ้าบนพื้นฐานของต้นทุนที่แท้จริงนั้น ถือเป็นการคำนึงถึงความเป็นธรรมระหว่างผู้ใช้พลังงานกับผู้รับใบอนุญาต

ส่วน ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความผู้รับผิดชชอบคดีดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า สภาผู้บริโภคในฐานะผู้แทนผู้บริโภคตามกฎหมาย จะเดินหน้าฟ้องคดีแทนผู้บริโภค โดยยื่นฟ้อง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อโต้แย้งกฎของรัฐที่สร้างภาระให้กับประชาชนเกินสมควร โดยมีกำหนดยื่นฟ้องภายในวันที่ 4 กันยายน 2568 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ ซึ่งจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบในลำดับถัดไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชง กพช. ออกมติแก้ต้นทุนไฟฟ้าใหม่กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP-VSPP กดค่าไฟลง 17 สต.
สภาผู้บริโภคหนุน กกพ.ให้รัฐทบทวน ‘ค่าแอดเดอร์’ พลังงานหมุนเวียน