
บัญชีม้าพุ่งตำรวจเร่งกวาดล้าง พบคนรุ่นใหม่อายุ 20–30 ปี เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการสแกมเมอร์ สภาผู้บริโภคเสนอทำระบบแจ้งเตือน “เบอร์ – บัญชีม้า” และเบอร์ต้องสงสัย เปิดให้ประชาชนตรวจสอบฟรี
ภัยจากไซเบอร์ออนไลน์ยังเกิดขึ้นอย่างรุนแรง สะท้อนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกวาดล้างขบวนการบัญชีม้าได้จำนวนหลายราย โดยเฉพาะจับกุมเครือข่าย “บัญชีม้าภาคอีสาน” ที่เป็นเอเยนต์จัดหาและจำหน่ายบัญชีม้าผ่านช่องทางออนไลน์ สร้างความเสียหายให้ผู้บริโภคจำนวนมาก แต่จากการจับกุมแสดงข้อมูลน่าห่วงว่าผู้กระทำความผิดเป็นคนรุ่นใหม่ อายุเพียง 20–30 ปีได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับขบวนการสแกมเมอร์
ทั้งนี้สถานการณ์บัญชีม้าจากของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าสามารถจัดการบัญชีม้าได้แล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี จากบัญชีเงินฝากในระบบทั้งหมดกว่า 132 ล้านบัญชี แต่เมื่อประเมินความเสียหายจากภัยการเงินในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนผู้เสียหายจากภัยไซเบอร์กว่า 1 ล้านราย แต่รัฐติดตามเงินกลับคืนสู่เหยื่อได้ในสัดส่วนเพียง 1% เท่านั้น
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า มาตรการที่ควรผลักดันคือระบบแจ้งเตือน (Caller ID) ที่ช่วยป้องกันภัยมิจฉาชีพได้ตรงจุดมากขึ้นและป้องกันผู้บริโภค โดยระบบนี้ควรใช้เทคโนโลยีเอไอและระบบคอมพิวเตอร์เข้าร่วมประมวลผลข้อมูล ร่วมตรวจสอบและแจ้งเตือนทันทีเมื่อมีเบอร์โทรเข้าที่ถูกรายงานว่ามีความผิดปกติ หรือเป็น “เบอร์ม้า” ที่ผิดกฎหมาย รวมถึงมีระบบแจ้งเตือนตัวตนของผู้โทรเข้ามา
ขณะเดียวกัน ควรทำระบบการแจ้งเตือนและบล็อกอัตโนมัติ หากระบบตรวจพบว่าเป็นเบอร์ที่ผิดกฎหมายแน่ชัด ทั้งซิมเถื่อนหรือซิมบ็อกซ์ โดยระบบของโอเปอเรเตอร์ควรบล็อกเบอร์ทั้งหมด ซึ่งการบล็อกอัตโนมัติโดยเฉพาะเบอร์ที่ใช้เครื่องโทรมา ช่วยลดความเสี่ยงของผู้บริโภคได้ถึง 20 – 30% รวมถึงเปิดให้สามารถกดรายงาน (Report) เบอร์ที่เป็นมิจฉาชีพได้ เมื่อเบอร์นั้นโทรไปยังผู้อื่นระบบจะขึ้นแจ้งเตือนทันที อีกทั้งควรมีการยืนยันตัวตนหน่วยงานรัฐ หากเป็นเบอร์ที่อ้างว่าเป็นหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานสำคัญ เช่น โรงพยาบาล ธนาคาร ควรมีการยืนยันตัวตน (Verify) จากระบบของโอเปอเรเตอร์หรือผู้ให้บริการค่ายมือถือ เพื่อป้องกันการแอบอ้าง
ทั้งนี้ปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีช่องโหว่และไม่มีระบบแจ้งเตือนภัยอย่างเร่งด่วน ทำให้สภาผู้บริโภคเสนอทางออกร่วมแก้ไขปัญหาในการจัดการบัญชีม้าด้วยการจัดทำระบบแจ้งเตือน “เบอร์ – บัญชีม้า” หรือระบบตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์และบัญชีต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพหรือไม่ ซึ่งเปิดให้ประชาชนเข้าถึงและใช้งานได้ฟรี เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายตั้งแต่ต้นทาง รวมถึงเสนอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ดำเนินการร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) จัดทำระบบดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเร่งยกเลิกและออกประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฉบับใหม่ ภายใน 30 วัน เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่มีความรุนแรง
เสนอตั้งกองทุนเยียวยา แบ่งความรับผิดชอบทั้งระบบ
รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ กรรมการนโยบายด้านการเงินและการธนาคาร สภาผู้บริโภค ระบุว่า จากภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและมีผลกระทบต่อผู้บริโภค ทำให้สภาผู้บริโภคได้ผลักดัน 2 นโยบายหลัก คือ 1. มาตรการป้องกันความเสียหายล่วงหน้าในระบบการเงิน ได้แก่ มาตรการหน่วงเงินก่อนโอน (Delayed Transaction) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคทบทวนและให้ธนาคารตรวจสอบธุรกรรมได้ทันก่อนเกิดความเสียหาย โดยให้ชะลอการโอนเงินที่มีมูลค่าเกิน 10,000 บาท เป็นเวลา 24 ชั่วโมง และ 2. หลักเกณฑ์การคืนเงินผู้เสียหายที่ชัดเจนและเป็นธรรม ผ่านการจัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายที่สามารถชดเชยความเสียหายเบื้องต้นได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการฟ้องร้องทางแพ่งหรืออาญา ซึ่งจะช่วยบรรเทาทุกข์ ลดภาระและเวลาที่ผู้บริโภคต้องเผชิญหลังจากถูกฉ้อโกง
ภัยออนไลน์พุ่ง ผู้บริโภคยังไร้หลักประกันความปลอดภัย
ภาพรวมปัญหาการร้องเรียนของผู้บริโภคปี 2568 ผ่านสภาผู้บริโภค มีจำนวนเรื่องร้องเรียน 23,703 เรื่อง มูลค่าความเสียหายทั้งหมด 4,744 ล้านบาท โดยปัญหาที่ผู้บริโภคมีการร้องเรียนลำดับต้น ๆ มีทั้งสินค้าชำรุดบกพร่อง/ได้รับความเสียหาย และปัญหาเผชิญปัญหาในเรื่องข้อความ (SMS) หลอกลวง/กวนใจ จำนวน 1,279
อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคได้ร่วมนำเสนอนโยบายสำคัญในการร่วมป้องกันภัยจากมิจฉาชีพออนไลน์ อาทิ การรับรองตัวตนผู้ขาย ระบบคืนเงินผู้เสียหายอย่างรวดเร็ว การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การแจ้งเตือนภัยจากการปลอมตัวหรือปลอมเสียงด้วยเอไอ ผ่านระบบเตือนเบอร์ต้องสงสัย รวมถึงมาตรการด้านการเงิน เช่น การหน่วงเงินก่อนโอน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคทบทวนและให้ธนาคารตรวจสอบความผิดปกติได้ทันเวลา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง



