Getting your Trinity Audio player ready... |

ร้องสภาผู้บริโภค ซื้อบ้านจัดสรร อัลติจูดคราฟ บางนา เจอส่วนกลางไม่ตรงปก ดำเนินการล่าช้า ด้านสภาผู้บริโภคเตรียมเจรจาโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาผู้บริโภค
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2568 ตัวแทนผู้เสียหายการซื้อหมู่บ้านจัดสรร “อัลติจูดคราฟ บางนา” (Attitude Kraf Bangna) เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อสภาผู้บริโภค กรณีโครงการไม่เป็นไปตามโฆษณา ดำเนินการล่าช้า

สิทธิศักดิ์ ถือพุทธ ผู้เสียหายจากการซื้อหมู่บ้านจัดสรรอัลติจูดคราฟ บางนา กล่าวถึงปัญหาที่พบว่า ในโฆษณาของโครงการดังกล่าวระบุว่ามีส่วนกลางเป็นส่วนขนาดพื้นที่ 9 ไร่ คลับเฮ้าส์ เดย์แคร์ สนามเด็กเล่น และอื่น ๆ ซึ่งส่วนกลางเหล่านี้มีกำหนดก่อสร้างเสร็จสิ้นในปี 2566 แต่จนปัจจุบันก็ยังสร้างเสร็จไม่ครบทั้งหมด อีกทั้งไม่มีการแจ้งความคืบหน้าให้ลูกบ้านทราบว่าดำเนินการถึงไหนหรือมีกำหนดเสร็จเมื่อใด
ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นปี 2567 มีลูกบ้านติดต่อไปที่ผู้บริหารของโครงการฯ เพื่อขอประชุมพูดคุยแก้ไขปัญหา แต่กลับไม่มีคำตอบชัดเจนและไม่เคยมีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าจะเสร็จเมื่อไร หรือหากไม่เสร็จจะชดเชยอย่างไร
นอกจากนี้ ภายหลังได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า พื้นที่สวน 9 ไร่ที่ระบุในโฆษณาส่วนใหญ่อยู่นอกพื้นที่จัดสรรของโครงการและเป็นที่ดินที่จะถูกเวนคืน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้ทราบจากการขอดูเอกสารจากสำนักงานที่ดิน และลูกบ้านบางรายยังไม่ทราบเรื่องนี้ ในส่วนแนวทางแก้ปัญหา โครงการเพียงแต่แจ้งว่าจะสร้างกำแพงล้อมและสร้างประตูเปิด – ปิด อัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น
“ลูกบ้านส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อเพราะเรื่องส่วนกลาง เนื่องจากทำเลไม่ได้ติดถนนใหญ่ ดังนั้น คนที่เข้ามาซื้อจึงไม่ได้ต้องการความสะดวกสบาย แต่ต้องการความเป็นส่วนตัวและพื้นที่สีเขียว นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการเวนคืนที่ดิน ที่โครงการอื่น ๆ จะแจ้งให้ทราบอย่างตรงไปตรงมา แต่โครงการนี้ไม่ได้ระบุเรื่องการเวนคืนที่ดินในโฆษณา จึงอาจจะเป็นสาเหตุอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อโครงการดังกล่าวด้วย” สิทธิศักดิ์ กล่าว

พนิดา เดอเลอครัวซ์ หนึ่งในผู้เสียหายจากการซื้อหมู่บ้านจัดสรรอัลติจูดคราฟ บางนา บอกเล่าถึงปัญหาในอีกมุมหนึ่งว่า เธอตัดสินใจซื้อบ้านตอนช่วงพรีเซลล์โดยราคารวมส่วนลดอยู่ที่ประมาณ 4.3 ล้านบาท ช่วงที่เข้าไปดูบ้านคือเดือนพฤษภาคม 2565 ซึ่งเซลส์ของโครงการแจ้งว่าบ้านจะสร้างเสร็จในเดือนกรกฎาคม แต่หลังจากนั้นได้ขอขยายระยะเวลาส่งมอบเป็นเดือนพฤศจิกายน จนสุดท้ายได้รับแจ้งว่าส่งมอบบ้านไม่ทันภายในปีนั้นแน่นอน
โครงการจึงเสนอเปลี่ยนให้เปลี่ยนบ้านเป็นอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่คนละโซนกัน แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลังใหม่ที่เสนอให้อยู่ติดกับส่วนกลางที่เป็นสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ ต้องซื้อบ้านในราคา 5.3 ล้านบาท แต่ด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ในขณะนั้นทำให้ต้องยอมเซ็นสัญญาและจ่ายเงินเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เธอได้ทราบภายหลังว่าบ้านหลังอื่น ๆ ที่อยู่ในโซนเดียวกันถูกซื้อในราคา 4.5 – 4.7 ล้านเท่านั้น
“ที่เลือกซื้อบ้านโครงการนี้เพราะเขาโฆษณาว่าจะมีสวน 9 ไร่ มีสนามเด็กเล่น และมีเดย์แคร์ ตอนนั้นเรากำลังท้อง จึงมองว่าโครงการนี้เหมาะกับครอบครัวเราที่กำลังจะมีลูก จนถึงช่วงสิ้นปีที่โครงการแจ้งว่าส่งมอบบ้านไม่ทันและเสนอให้เปลี่ยนหลัง มันอยู่ในจุดที่เราต้องยอมเปลี่ยนหลัง เพราะจำเป็นต้องเข้าอยู่แล้ว เนื่องจากมีแพลนจะคลอดน้องในช่วงต้นปี 2566 ประกอบกับว่าถ้าไม่เซ็นสัญญาภายในปี 2565 จะต้องจ่ายดอกเบี้ยค่าบ้านแพงขึ้นเกือบเท่าตัว จึงยอมทำตามข้อเสนอของโครงการ” นางพนิดา ระบุ
นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนผู้เสียหายรายอื่น ๆ ที่สะท้อนปัญหาเพิ่มเติม เช่น ประเด็นเรื่องสาธารณูปโภคส่วนกลางบางส่วนที่ แม้จะลักษณะภายนอกดูใกล้เคียงกับโฆษณา แต่ใช้วัสดุที่ไม่มีคุณภาพและมีพื้นที่ไม่เหมาะกับการใช้งานจริง การโฆษณาว่ามีรถรับส่งฟรี (shuttle bus) ระหว่างหมู่บ้านถึงบีทีเอส แต่ในความเป็นจริงไม่มีบริการ และภายหลังเมื่อถูกคนในชุมชนเรียกร้องก็นำรถมาให้บริการ แต่สักพักก็มีการเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มเติม การเก็บค่าส่วนกลางล่วงหน้า 2 ปี ขณะที่พื้นที่ส่วนกลางยังสร้างไม่เสร็จและไม่สามารถใช้งานได้จริง

ด้าน โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า จากข้อมูลของผู้บริโภคที่เข้ามาร้องเรียน จะเห็นว่าพื้นที่สีเขียวนั้นถูกระบุในโฆษณาว่าเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งการโฆษณาถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา ดังนั้นบริษัทต้อง “จัดให้มีพื้นที่ส่วนกลางครบถ้วนและตรงตามที่โฆษณาไว้ทั้งหมด” โดยผู้บริโภคต้องสามารถเข้าไปใช้สอยพื้นที่นั้นได้จริง หรือหากไม่สามารถทำได้ ต้องมีการชดเชยหรือเยียวยาความเสียหาย
สำหรับการดำเนินการหลังจากนี้ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิฯ ให้ข้อมูลว่า สภาผู้บริโภคจะเร่งออกหนังสือเชิญบริษัทเจ้าของโครงการฯ เข้ามาเจรจาโดยเร็ว เพื่อพูดคุยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหารวมถึงการชดเชยเยียวยาให้กับผู้เสียหายด้วย ทั้งนี้ หากบริษัทฯ ปฏิเสธการเจรจาหรือไม่เข้าร่วมประชุม สภาผู้บริโภคจะเดินหน้าช่วยเหลือผู้บริโภคในการฟ้องคดีเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง นอกจากนี้ จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ ให้ตรวจสอบปัญหาการโฆษณาเกินจริงหรือเป็นเท็จด้วย
สำหรับผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากโครงการ “อัลติจูดคราฟ บางนา” หรือพบปัญหาจากการซื้อบ้าน สามารถปรึกษา – ร้องเรียนกับสภาผู้บริโภคได้ที่ เว็บไซต์ www.tcc.or.th หรือสายด่วนสภาผู้บริโภค (วันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่ 9.00 – 17.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)


ข่าวที่เกี่ยวข้อง