Getting your Trinity Audio player ready... |

ประชาชน เอกชน นักวิชาการสุดทนวิกฤติพลังงาน เสนอ ปฏิรูปพลังงาน แก้กฎหมาย ตั้ง NEP Watch เกาะติดแผนพลังงานชาติ เผยข้อมูลช้ำ 30 ปี คนไทยถูกลดความสามารถในการพึ่งพาตัวเองด้านพลังงานอย่างหนัก
นักวิชาการ ภาคประชาชน และเอกชนด้านพลังงานประกาศจับมือครั้งสำคัญ ตั้งกลุ่มจับตาแผนพลังงานชาติ “NEP Watch” เกาะติดการจัดทำแผนกำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) เดินหน้าแก้กฎหมาย ฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ ปฏิรูปพลังงาน ให้สำเร็จ
เสนอตั้งกลุ่ม “NEP Watch”

อาทิตย์ เวชกิจ นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) กล่าวในเวทีเสวนา “ปฏิรูปพลังงานไทย : ธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วม…ก้าวต่อไปอยู่ตรงไหน?” ว่า เสนอให้ภาคส่วนต่าง ๆ จัดตั้งกลุ่ม “NEP Watch” เพื่อติดตาม ตรวจสอบ และผลักดันความโปร่งใสของแผนพลังงานชาติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ภาครัฐอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan: PDP) ฉบับใหม่ และเรียกร้องให้การทำแผน PDP ต้องเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอน และมีการเผยแพร่รายงานการประชุมต่อสาธารณะทุกครั้ง และรับฟังเสียงประชาชนตั้งแต่ต้น เพื่อให้เป็น “แผนพลังงานของประเทศ” (National Energy Plan: NEP)
“ปัญหาพลังงานสะท้อนชัดเจนจากความล่าช้าและไม่โปร่งใสในการจัดทำ PDP ที่ยังคงเน้นพลังงานฟอสซิล ขณะที่โรงไฟฟ้าหมุนเวียนจำนวนมากไม่สามารถเชื่อมกับสายส่งได้ ทำให้เกิด “กับดักไฟไม่พอ” โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างอีอีซี ทุกวันนี้ประเทศไทยขาดธรรมาภิบาลอย่างมากในด้านพลังงาน จนทำให้ค่าไฟแพง เราสร้างโรงไฟฟ้าจำนวนมาก ที่ไม่ได้เดินเครื่องผลิต แต่ประชาชนยังต้องจ่ายเงิน ขณะที่เศรษฐกิจกลับชะลอตัวเพราะรัฐอ้างว่าไฟฟ้าไม่เพียงพอในการให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรม เป็นไปได้อย่างไร” อาทิตย์ตั้งคำถาม
ประชาชนช้ำวิกฤตพลังงาน

ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญความเปราะบางด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งการนำเข้าพลังงานเพิ่มขึ้นจาก 2.7% ของจีดีพีเมื่อปี 2536 เป็น 10% ในปี 2566 และความสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานลดจาก 75% เหลือเพียง 32% โดยเฉพาะช่วงวิกฤตสงครามรัสเซีย–ยูเครน ตัวเลขลดลงเหลือ 16% ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จาก 41% ต่อจีดีพีในปี 2536 เพิ่มเป็น 92% ในปี 2566 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนไทยแบกค่าไฟแพงมาก
“โครงสร้างการผลิตไฟฟ้าของไทยยังพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินสูง ขณะที่พลังงานหมุนเวียนมีเพียง 5% ต่ำกว่าเวียดนามที่ผลิตได้ถึง 28% และยิ่งตอกย้ำปัญหาความเหลื่อมล้ำ ค่าไฟแพง และความเสี่ยงจากโลกร้อนที่จะกระทบต่อรายได้ประชาชนในระยะยาว และไทยจะกระทบหนักกว่าประเทศอื่น” ผศ.ประสาทกล่าว
เร่งปลดล็อกประชาชนเข้าถึงพลังงาน

ชื่นชม สง่าราศี กรีเซน นักวิชาการอิสระด้านไฟฟ้า ระบุว่า โครงสร้างพลังงานของไทย ถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนพลังงานและรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ตั้งแต่ยุคพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือเป็นการลดทอนอำนาจของฝ่ายราชการและนำอำนาจรัฐไปแสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ การที่รัฐบาลมีสิทธิกำหนดราคาหุ้น ปตท. ได้ ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ “การทุจริตทางนโยบาย” (Policy Corruption) และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาธรรมาภิบาลที่ส่งผลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในภาคพลังงานมีอำนาจฝังรากลึกจนกลายเป็น “Deep State” ซึ่งหมายถึงการที่มีกลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่งดำเนินการอยู่เบื้องหลังรัฐ สามารถแทรกแซงกลไกทางการเมืองและนโยบายสาธารณะ ส่งผลกระทบต่อโอกาสของผู้ประกอบการรายใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานหมุนเวียน แม้ว่าต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดจะถูกลงจนผู้ประกอบการรายเล็กสามารถแข่งขันได้ แต่กลับถูกกีดกันหรือบดบังโดยทุนใหญ่ ทำให้ไม่สามารถเติบโตได้หากไม่เข้าไปพึ่งพากลุ่มทุนผูกขาด
“กลุ่มทุนพลังงาน และข้าราชการที่สมยอมผลประโยชน์กับการเมือง การจับมือกันยึดกุมกลไกทั้งสายส่ง ท่อก๊าซ และนโยบาย จนทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายเล็กไม่มีโอกาสแข่งขัน ทำลายระบบธรรมาภิบาลในประเทศไทย ตอนนี้เราเข้าสู่วิกฤตแล้ว เราต้องปลดแอก ดึงอำนาจออกจากกลุ่มทุนการเมือง ให้เป็นอำนาจของประชาชน ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ได้มากที่สุด กกพ.ต้องทำหน้าที่ตอบสนองต่อประชาชนและภาคธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ และมีความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย” นางสาวชื่นชมกล่าว
สำหรับทางออกในอนาคต นางสาวชื่นชม ระบุว่า หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ปัญหานี้อาจดำเนินไปใน 2 รูปแบบ คือ 1. รัฐและรัฐวิสาหกิจยังคงผูกขาดพลังงาน และควบคุมไม่ให้พลังงานหมุนเวียนเกิดขึ้นจริง จนนำไปสู่การหยุดชะงักทางเทคโนโลยี และทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “พิพิธภัณฑ์ฟอสซิล” ที่ย่ำอยู่กับที่ ไม่สามารถพัฒนาได้ และ 2. การลุกขึ้นมาของภาคประชาชน คล้ายกับกรณีของประเทศปากีสถาน ที่ค่าไฟแพงมาก จนประชาชนจำนวนมากหันไปติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเอง และมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างกว้างขวาง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็สร้างความเหลื่อมล้ำ เพราะครัวเรือนที่มีกำลังซื้อเท่านั้นที่จะสามารถติดตั้งได้ ขณะที่ประชาชนรายได้น้อยยังต้องรับภาระต่อไป

สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านการเงิน ได้เสนอ 5 แนวทางในการปฏิรูปพลังงาน คือ 1. แผน PDP ต้องเชื่อมโยงกับกฎหมายโลกร้อนและพันธสัญญานานาชาติ 2. เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง 3. ใช้สิทธิทางกฎหมายฟ้องร้องกกพ. หากละเลยหน้าที่ในการปกป้องสิทธิผู้ใช้ไฟ และส่งเสริมความเป็นธรรมในการแข่งขัน 4. ป้องกันการฟ้องปิดปากของกลุ่มทุน และ 5. ผลักดันให้กกพ.เป็นองค์กรอิสระอย่างแท้จริง
ติดหล่ม “ก๊าซ” ค่าไฟแพง ขวางพลังงานสะอาด
ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต กล่าวว่า แม้ทั่วโลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด แต่ประเทศไทยกลับ “ตกหลุมก๊าซ” โดยพึ่งพา LNG สูงขึ้นเรื่อย ๆ จาก 13% ในปี 2562 สู่ 31% ในปี 2566 ส่งผลให้ค่าไฟพุ่ง และกลายเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนใหม่ในภาคอุตสาหกรรม เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด พร้อมเสนอว่าการพิจารณาแผน PDP ต้องปรับใหม่ ทั้งในด้านความคิด การบริหารจัดการ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่เพียงเพิ่มพลังงานหมุนเวียน แต่ต้องมีธรรมาภิบาล การมีส่วนร่วมของสังคม

นอกจากนี้ ได้เสนอโมเดล “Mixed Integrated System” ที่ลดการผูกขาดจากโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของประเทศไทยมีลักษณะเป็นโครงสร้างที่มีผู้ซื้อรายเดียว (Enhanced Single Buyer: ESB) โดยต้องเร่งแก้กฎหมาย และนำเสนอเป็นรูปธรรมผ่านพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด
“สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถขยับตัวได้ เพราะเราไปสร้างเส้นทางที่กลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึง วางโครงสร้างระบบไฟฟ้าที่มีผู้ซื้อรายเดียว เปลี่ยนกฟผ.จากผู้ผลิตให้กลายเป็นผู้ซื้อ จูงใจให้เอกชนเข้ามาผลิตไฟฟ้า จนเกิดภาวะการลงทุนล้นเกิน โยงมาเป็นปัญหาถึงปัจจุบัน ซึ่งทั่วโลกกำลังก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด แต่ไทยยังตกหลุมก๊าซอยู่เลย และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าไฟแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว” ดร.เดชรัต กล่าว
รื้อโครงสร้างกฎหมาย-องค์กรอิสระ

ดร.ภาคภูมิ โลหวริตานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมาย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาล้ยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า โครงสร้างหน่วยงานด้านพลังงานของไทยมีความซับซ้อน มีคณะกรรมการหลายชุดตั้งแต่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ไปจนถึงคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) การทำงานของคณะกรรมการแต่ละชุดอยู่ภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งมีอำนาจในการเสนอแผนพลังงาน แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) แนวทางการประกอบกิจการพลังงาน จนถึงการกำหนดอัตราค่าบริการ
“โดยเฉพาะกกพ. ที่ควรเป็นองค์กรอิสระกำกับดูแลการแข่งขันและปกป้องสิทธิผู้ใช้ไฟ แต่ปัจจุบันยังต้องปฏิบัติภายใต้กรอบของรัฐมนตรี ทำให้ขาดความเป็นอิสระและไม่สามารถตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อนได้เต็มที่ จึงมีข้อเสนอให้แก้ไขกฎหมาย เริ่มที่กกพ.ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลกิจการพลังงาน ต้องมีความเป็นอิสระ และปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งพ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงานฯ มีกำหนดไว้ชัดเจน แต่ยังไม่เห็นการปฏิบัติ จึงสนับสนุนให้มีการฟ้องกกพ.เพื่อให้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย” ดร.ภาคภูมิกล่าว
ผู้ร่วมเสวนาในเวทีปฏิรูปพลังงานเห็นตรงกันว่า ทางออกสำคัญคือการ “ปลดล็อก” อำนาจจากกลุ่มทุนและรัฐ ให้ประชาชน ภาคธุรกิจ และท้องถิ่นสามารถเข้ามาผลิตไฟฟ้าได้ ทั้งภาคประชาชนและเอกชนเห็นพ้องว่าแผนพลังงานชาติต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อปลดล็อกศักยภาพประเทศสู่พลังงานสะอาดในราคาที่เป็นธรรม หากรัฐไม่เร่งขับเคลื่อน ปัญหาพลังงานแพงและความเหลื่อมล้ำจะยิ่งขยายวงกว้าง และไทยอาจ “ตกขบวนพลังงานโลก” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ขีดเส้น ต้น ก.ย.นี้ ฟ้องเลิก สัญญาซื้อไฟ ปลดภาระประชาชน
โวยรัฐลงทุน สายส่งไฟฟ้า สปป.ลาว เพิ่มต้นทุนค่าไฟ ซ้ำเติมประชาชน